วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของเมลาโทนิน


             เมลาโทนิน ฮอร์โมนที่อัศจรรย์ใจยิ่ง
             สิ่งค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อมไพเนียล นาฬิกาบอกอายุ
             หลังการค้นคว้ามากกว่า 30 ปี  Dr.W.Regelson  ก็ได้ข้อสรุปว่า ตัวที่ควบคุมกลไกของความชราคือ ต่อมไพเนียล
ผลการศึกษาพบว่าต่อมไพเนียลทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ของระบบร่างกาย องค์ประกอบของต่อมไพเนียลยังมีผลโดยตรงกับการหลั่งฮอร์โมนในร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย  จากความสามารถข้างต้นเปรียบได้ว่า       “ต่อมไพเนียลเป็นราชาแห่งการควบคุมทุกระบบในการทำงานของร่างกาย”  จากการค้นพบนาฬิกาบอกอายุ  ทำให้มีความหวังในหมู่มวลมนุษยชาติที่จะสามารถยืดอายุ ออกไปอีกได้ 2-3 เท่า
             ต่อมไพเนียลในร่างกายเป็นตัวผลิตเมลาโทนิน และควบคุมขบวนการเข้าสู่วัยชรา   Dr.W.Regelson   และ Dr.Pierpaoli (ผู้เชี่ยวชาญในการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสารเมลาโทนิน/ต่อมไพเนียล) กล่าวว่า “การค้นพบนี้เปรียบเสมือน นาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่วัยชรา”  เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่สังเคราะห์ขึ้นโดยต่อมไพเนียลซึ่งมีอิทธิพลต่อระดับพลังงานในร่างกายและระดับสารเมลาโทนินที่อยู่ในกระแสเลือด  ฮอร์โมนนี้มีผลต่อการสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันทำให้นอนหลับได้นานขึ้น และผลต่อระบบหัวใจหลอดเลือด ฮอร์โมนนี้สามารถมีปฏิกิริยาต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant)
ซึ่งป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย   ระดับของสาร เมลาโทนิน จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
             ประโยชน์ของเมลาโทนิน
ประโยชน์ของเมลาโทนิน ตั้งแต่มีการค้นพบและยืนยันของ Dr.W.Regelson และ Dr.Pierpaoli  และงานวิจัยต่าง ๆจากประเทศต่าง ๆ ในเรื่องเมลาโทนินค้นพบว่า เราสามารถได้ประโยชน์จากฮอร์โมนตัวนี้ซึ่งในปัจจุบันมีเอกสารด้านวิทยาศาสตร์
มากกว่า 4,500  ฉบับ ที่อธิบายถึงประโยชน์ของเมลาโทนินดังต่อไปนี้
             1.  ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น
             2.  เพิ่มหน้าที่ในการกำจัดสารพิษ
             3.  ส่งเสริมให้นอนหลับอย่างสบาย
             4.  กระตุ้นความแข็งแรงของสมรรถภาพทางเพศ
          5.  ป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง
              6.  มีผลต่อฮอร์โมนต้านความเครียด
              7.  ลดระดับ LDL  ในคลอเลสเตอรอล (สารไม่ดี)
              8.  กระตุ้นฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต
              9.  กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
           10.  ป้องกันระบบหลอดเลือดและหัวใจ
           11.  ซ่อมแซมอวัยวะต่าง ๆ DNA Cell ที่ถูกทำลาย และอื่น ๆ
            อย่างไรก็ตามเรื่องสารสังเคราะห์เมลาโทนินก็เจอผลสะท้อนจากอันตรายที่คาดไม่ถึง และเพื่อความปลอดภัยที่ดีที่สุด คือการรักษาสุขภาพเพื่อให้ร่างกายผลิตสารเมลาโทนินโดยธรรมชาติด้วยเหตุผลนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงห้ามการขายสารเมลาโทนินสังเคราะห์ขึ้นสู่สาธารณะชน




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคอลลาเจน


            เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคอลลาเจน
            คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง มีส่วนสำคัญทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ซึ่งผิวหนังของเราปกติแล้วแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ
1.  ชั้นหนังกำพร้า เป็นผิวชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลล์ผิวหนัง ซึ่งมีหน้าที่ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล รักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ป้องกันเชื้อโรค
2.  ชั้นหนังแท้ เป็นผิวชั้นใน ประกอบด้วยเส้นใยประสานกันไปมา คือ เส้นใยของคอลลาเจน, โปรตีน, เส้นใยอีลาสติกและโปรตีนเส้นใยร่างแห
3.  ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่รองรับผิวหนังให้คงรูปร่าง ช่วยลดการกระแทก และเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายยามขาดแคลนพลังงาน
            ในวัยเด็กคอลลาเจนยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้นเส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ผิวหนังยุบตัวลง
อันเป็นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย  อย่างไรก็ตามเราสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ร่างกายได้ เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ด้วยการรับประทานคอลลาเจน หรือการฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังซึ่งมีความเสี่ยงสูง ยุ่งยาก ราคาสูง ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ  ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

คอลลาเจน กับกระดูกและข้อ 
 คอลลาเจนคืออะไร
          คอลลาเจน เป็นโปรตีนธรรมชาติที่พบมากในผิวหนังและกระดูกของสิ่งมีชีวิต ลักษณะเป็นโครงสร้างตาข่าย
หนาแน่นขนาดเล็กมาก เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนังและกระดูก โครงสร้างเหล่านี้จะค่อย ๆ เสื่อมสลายเองตาม
อายุที่มาก (25 ปีขึ้นไป) โดยทั่วไปคอลลาเจนจะไม่สามารถรับประทานโดยตรงได้เพราะมีขนาดและความหนาแน่น
สูงมาก ดูดซึมได้ยาก จึงจำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปให้มีขนาดเล็กเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ง่าย
เมื่อร่างกายขาดคอลลาเจนจะมีผลกระทบอย่างไร
          ผิวหนัง  -  แห้งกร้าน, ตกกระ, ฝ้า, ริ้วรอยเหี่ยวย่น
          กระดูก  -  กระดูกพรุน กระดูกข้อต่อเสื่อม เช่น ข้อเข่าเสื่อม หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ปวดหลัง ปวดเอว
ทำไมคอลลาเจนถึงช่วยฟื้นฟูข้อต่อต่าง ๆ ได้
           คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอมิโนที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย 19 ชนิดจากทั้งหมด 20 ชนิด
และมีปริมาณ Glycine และ Protine สูงมากทำให้สามารถกระตุ้นการสรางเนื้อเยื่อข้อเข่าได้
รับประทานคอลลาเจนแล้วมีผลข้างเคียงหรือไม่
          คอลลาเจนเป็นอาหารเสริมที่มีความปลอดภัยสูงมาก ๆ  มีแต่โปรตีนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีไขมัน ไม่มี
น้ำตาล ไม่มีคาร์โบไฮเดรต โดยองค์การอนามัยโลก และองค์กรอาหารและยาของประเทศเยอรมันให้การรับรองถึง
ความปลอดภัยระดับสูงสุด
ผลการวิจัย
-          ผลการวิจัยจาก Tuffs Medical Center และ  Harvard Medical School  พบว่า
คอลลาเจน สามารถฟื้นฟูข้อเข่าได้
-           Collagen Research Institute n Kiel, Germany  พบว่าการรับประทานคอลลาเจน
สามารถทำให้เพิ่มมวลข้อเข่าขึ้นได้ เมื่อเทียบกับการไม่ได้รับประทานคอลลาเจน
-          การวิจัยจากหลายสถาบันพบว่า คอลลาเจนสามารถลดอาการเจ็บปวดของโรคข้อเสื่อมได้




 

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

อนุมูลอิสระคืออะไร

        อนุมูลอิสระคืออะไร
        อนุมูลอิสระ (FREE   RADICAL)  เป็นสารที่มีอะตอมหรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยวหรืออิเล็กตรอนไร้คู่ อนุมูล
อิสระมีความว่องไวมากในการรวมตัวกับสารอื่น เช่น โปรตีน  ไขมัน  และกรดนิวคลีอิก โดยไปแย่งเอาอิเล็กตรอนจาก
โมเลกุลใกล้เคียงมาเข้าคู่กับตัวมันเพื่อให้ตัวของมันเกิดสภาวะสมดุล  ที่จริงอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นมีอายุสั้นมาก  หมายความว่าการที่มันจะมีอิเล็กตรอนไร้คู่นั้นมีเวลาเพียงหนึ่งในล้านวินาทีแต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมืออนุมูลอิสระเข้าไปใน
ร่างกายนั้นเกิดขึ้นอย่างหยุดยั้งไม่ได้
             ลองนึกดูว่าเมื่ออนุมูลอิสระไปแย่งเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์ร่างกายมาเข้าคู่กับตัวของมันเอง  เซลล์นั้นก็จะขาดอิเล็กตรอนขึ้นมาบ้าง  มันจึงต้องไปดึงเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์ใกล้เคียงมาเข้าคู่เพื่อให้เกิดความสมดุลในเซลล์   แต่เซลล์
ที่สองที่ถูกแย่งอิเล็กตรอนไปก็เกิดสภาวะมีอิเล็กตรอนไร้คู่ขึ้นมาอีกจึงจำต้องไปดึงเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์ถัดไปมาเข้าคู่
กับตัวมันเอง  จะเห็นได้ว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นไม่สิ้นสุด  มันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะเกิดขึ้นในรัศมีกว้างขวางรุนแรงเช่นเดียวกับการเกิดระเบิดปรมาณู  นึกเอาเถิดว่าหากเกิดระเบิดปรมาณูลูกเล็ก ๆ  ในร่างกายของเราจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หากเกิดปฏิกิริยาของอนุมูลอิสระในเซลล์ผนังหลอดเลือดก็จะทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดรอยถลอก  ความขรุขระที่เกิดขึ้นทำให้เป็นที่ดักจับไฟบรินและไขมันในเลือดที่ล่องลอยมา  เกิดเป็นตะกรันแข็งในบริเวณนั้นทำให้เส้นเลือดเกิดการแข็งตัว
และเกิดอาการตีบตันทำให้เราเกิดโรคของหลอดเลือดมากมาย  เช่น  หลอดเลือดเแข็งตัวเกิดโรคความดันเลือดสูง  หลอดเลือดหัวใจตีบตัน  หลอดเลือดในสมองตีบเป็นอัมพาต  เป็นต้น   หากอนุมูลอิสระ ไปเกิดในระดับเซลล์ทำให้โครโมโซมหรือดีเอ็นเอเกิดการหรือบิดเบี้ยวไป  เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นก็จะมีดีเอ็นเอที่ผิดเพี้ยนไปจากเซลล์เดิมซึ่งเป็นเซลล์ปกติ  เราอาจจะได้
เซลล์ใหม่ที่มีคุณสมบัติขยันในการแบ่งตัว  มันก็จะเพิ่มปริมาณเซลล์ที่มีหน้าตาประหลาดไม่เหมือนเซลล์ไหนหรืออวัยะใด
ในร่างกาย  ก้อนเนื้อหน้าตาประหลาด ๆ  อย่างนี้เองที่เราเรียกว่ามะเร็ง
            โรคเสื่อมที่เกิดจากอนุมูลอิสระนอกจากโรคของหลอดเลือดและโรคมะเร็งแล้วยังมีโรคไขข้ออักเสบ     โรค              ข้อรูมาตอยด์   โรคแกรนูโลมาตัสเรื้อรัง (chronic  granulomatous)    โรคติดเชื้อ  โรคต้อกระจก  ผิวหนังเหี่ยวย่น
แก่ก่อนวัย  โรคพิษจากสารเคมี  และโรคภูมิคุ้มกันไวเกิน (autoimmune)
             อนุมูลอิสระมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ในสิ่งแวดล้อม   ในวัสดุธรรมชาติ  เช่น ถ่านหิน  กากดิน  น้ำมันปิโตเลียม 
ในสารกัมมันตรังสี  เช่น รังสีเอกซ์  รังสีอิเล็กตรอน  รังสีแกมมา  ในยาฆ่าหญ้า  เช่น พาราควอร์ต  กรัมม็อกโซน  ในสีย้อม
เช่น  สีแดงเบอร์สอง และสีเหลืองผสมเนย   ในน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันที่ผ่านความร้อนสูงและน้ำมันที่เหม็นหืน  อนุมูลอิสระยังเกิดในกระบวนการเผาไหม้สารอินทรีย์ เช่น  ในควันบุหรี่  เถ้าบุหรี่  ไอเสียรถ  อาหารที่ปิ้งย่างหรือทอดจนเกรียม
ยาบางตัวก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย เช่น ยาอเดรียไมซินซึ่งเป็นยารักษามะเร็ง
            ผลที่เกิดจากอนุมูลอิสระต่อร่างกาย  เราพอจะแยกให้เห็นความร้ายแรงชัด ๆ ดังนี้  สารกัมมันตรังสีทำให้เซลล์เสื่อมสภาพเป็นพิษเรื้อรังอย่างเช่นคนในฮิโรชิมาที่ได้รับรังสีระเบิดปรมาณู  สำหรับยาฆ่าหญ้าเมื่อสูดดมเข้าไปในปอด
มาก ๆ  ทำให้เนื้อปอดถูกทำลายเป็นเนื้อเยื่อพังผืด  สีย้อมทั้งสองชนิดดังกล่าวทำให้เกิดโรงมะเร็ง

สารต้านอนุมูลอิสระ

        สารต้านอนุมูลอิสระ
            เห็นแล้วว่าอนุมูลอิสระทำให้เซลล์ร่างกายของเราเสียหายได้มากมายแล้วร่างกายของเราไม่มีวิธีป้องกันแก้ไขหรือ
            สำหรับคำตอบในเรื่องนี้ก็คือ มนุษย์เรายังโชคดีที่ธรรมชาติได้เตรียมการไว้ให้เราเรียบร้อยแล้วมาตั้งแต่สมัยดึก
ดำบรรพ์ที่สัตว์โลกมีวิวัฒนาการขึ้นมาจากน้ำ  เรารู้ว่าชีวิตแรกบนโลกนี้เกิดในน้ำสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้ำมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ
มีปริมาณออกซิเจนน้อยแต่เมื่อสัตว์โลกมีวิวัฒนาการขึ้นจากน้ำมามีชีวิตบนบกบรรยากาศรอบตัวของมันก็เปลี่ยนแปลงไป
สัตว์บกจะต้องเสี่ยงกับความร้อนจ้าของแสงแดดทั้งออกซิเจนในอากาศก็มีปริมาณเข้มข้นถึง 21%  สิ่งแวดล้อมใหม่นี้มีผลทำให้ร่างกายของสัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนที่มันอยู่ในน้ำ จากปฏิกิริยาออกซิเดชันทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมากมายในร่างกาย   สัตว์ตัวไหนที่ทนไม่ได้ก็สูญพันธุ์ไปตั้งแต่สมัยขึ้นมาจากน้ำใหม่ ๆ
สำหรับสัตว์โลกที่สามารถดำรงพันธุ์มาได้จนถึงทุกวันนี้แสดงว่าร่างกายของมันมีการปรับตัวครั้งมโหฬาร  มันจะต้องสร้าง
สารต่อต้านการออกซิเดชันและมีการกำจัดอนุมูลอิสระทิ้งไปก่อนที่จะทันทำอันตรายแก่เซลล์ในร่างกาย  สารต้านอนุมูลอิสระที่มันต้องกินเข้าไป เช่น  ไบโอฟลาโวนอยด์  แคโรตินอยด์  (เบต้าแคโรทีนและไลโคปิน)   ซึ่งเป็นสารสีเหลืองและแดง
ของพืชต่าง ๆ  เมื่อสัตว์โลกกินเข้าไป ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นก็จะลดอัตราเร็วของการเกิดลง การทำลายไขมันลิปิดที่เยื่อหุ้ม
เซลล์ก็ลดลง  เราเรียกสารต่อต้านอนุมูลอิสระนี้ว่าสารต้านออกซิเดชั่น
            สารต้านอนุมูลอิสระส่วนมากเป็นสิ่งซึ่งเรารู้จักกันดี  นั่นคือวิตามิน   โดยเฉพาะโปรว ตามินเอหรือเบต้าแคโรทีน
วิตามินอี-โทโคเฟอรอลและวิตามินซี  นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ อีกมากมาย  ได้แก่ กรดยูริก   ไบโอฟลาโวนอยด์   แมนนิทอล  โปลิฟินอล  กรดเอลลาจิก  ซีสเตอีนและกลูตาธัยโอนรีดิวซ์  

เพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระ ค่า ORAC : Oxygen Radical Absorbance Capacity  เป็นค่าวัดความสามารถในการต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระในพืชผักและผลไม้ ซึ่งการหาค่า ORAC สามารถหาได้โดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ HPLC  โดยการวิเคราะห์ที่เรียกว่า “สมรรถภาพการดูดซับอนุมูลอิสระของออกซิเจน” ค่า ORAC ยิ่งสูง ยิ่งมีประสิทธิภาพในการยับยั้งอนุมูลอิสระได้สูงตามไปด้วย ซึ่งหากเราได้รับค่า ORAC จากการรับประทานผักและผลไม้ต่อวันมากกว่า 5,000 หน่วย จะช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรง สุขภาพดี ชีวิตยืนยาวตามไปด้วย
(การรับประทานผักและผลไม้ 5-8 ครั้งต่อวัน สามารถได้ค่า ORAC ประมาณ 2,000-2,500 หน่วย)
           

คุณประโยชน์ของเลซิติน


คุณประโยชน์ของเลซิติน
            คงต้องกล่าวถึงเลซิตินในแง่ของอาหารเสริมด้วย  เนื่องจากปัจจุบันเลซิตินเป็นอาหารเสริมยอดนิยม  อาจจะเพราะสาเหตุที่ทุกวันนี้คนเราเป็นโรคหลอดเลือดกันมากขึ้น   ปัญหาไขมันในเลือดสูงขึ้นและเรามีความรู้เรื่องไขมันมากขึ้น
จึงรู้ว่าสารเลซิตินตัวนี้เองที่ทำหน้าที่เป็นอีมัลชิฟายเออร์หรือทำให้ไขมันละลายในน้ำได้  ด้วยเหตุนี้เลซิตินจะช่วยให้ไขมันส่องลอยไปในเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันที่อาจจะไปเกาะตามผนังของหลอดเลือดจะถูกเลซิตินดึงออกมาแล้วพาให้ลอยไปตามกระแสเลือดเสีย  แทนที่จะเกาะเป็นตะกรันแข็งแล้วก่อใหเกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตันตามมา  เป็นที่ยอมรับ
ในวงการแพทย์แล้วว่าเลซิตินมีผลต่อการป้องกันและรักษาโรคของหลอดเลือดจริง  ดร.เลสเตอร์  มอริสัน  เป็นผู้หนึ่งที่
ยืนยันว่าเลซิตินเป็นสารอาหารตามธรรมชาติที่ใช้ป้องกันโรคหัวใจอย่างได้ผล
          เลซิตินเป็นสารประกอบเชิงซ้อน  คือมีสารอาหารหลาย ๆ ตัวมาประกอบกันขึ้นเป็นโมเลกุลใหญ่  สารอาหารแต่ละตัวมีบทบาทต่อร่างกายแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้ว  สารประกอบเลซิตินมีบทบาทต่อเมตาบอลิสม์ของไขมันในร่างกาย  เลซิตินเป็นสารประกอบของกรดไขมันจำเป็นฟอสฟอรัสและวิตามินบีสองตัว   คือ   โคลีนกับอินโนซิทอล    จัดเป็น ฟอสโฟไลปิดรูปแบบหนึ่ง  เราได้เลซิตินจากอาหารที่เรากินเข้าไป  ไข่แดง  ถั่วเหลืองและเมล็ดพืชล้วนมีเลซิตินเป็นส่วนประกอบอยู่มาก  นอกจากนี้ตับของเรายงสร้างเลซิตินขึ้นมาใช้เอง
            หากมีวัตถุดิบคือกรดไขมันจำเป็น  ฟอสฟอรัส  โคลีนและอินโนซิทอลให้เป็นปริมาณเพียงพอ  สรุปแล้วหากเรากินอาหารแบบธรรมชาติ  กินเมล็ดพืชให้มากเราจะไม่มีทางขาดเลซิตินได้เลย
            เลซิตินในร่างกาย
            ในร่างกายของเรามีเลซิตินอยู่ในเซลล์และอวัยวะหลายชนิด   เอื้อให้อวัยวะต่าง ๆ  ทำหน้าที่ของมันตามปกติ
เลซิตินเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างเซลล์ประสาท  ทำให้ต่อมไรท่อรวมทั้งอัณฑะและรังไข่ทำงานเป็นปกติ  เลซิติน
ยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมอาหารของร่างกาย และเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมตาโบลิสม์ในร่างกายของเรา  ใน
สมองเราถ้าเอาส่วนที่เป็นน้ำออกให้หมดจะมีเลซิตินประกอบอยู่ถึง 30%  ในไขมัน  ในตับมีเลซิตินเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง73%  ในกล้ามเนื้อของนกมีปริมาณเลซิตินสูงถึง  25%  ปริมาณเลซิตินในเนื้อเยื่อไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนัก  แม้น้ำหนัก
จะลดลงมามากก็ตาม  ในกรณีที่ร่างกายของเราต้องซ่อมสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่า  ร่างกายของเราต้องการ   เลซิตินอย่างมาก  ดังนั้นในร่างกายเราจึงมีเลซิตินสำรองเอาไว้ไม่ขาด  อย่างไรก็ตาม  เราพบว่าในคนที่เสียชีวิตด้วยโรค
หัวใจจะมีปริมาณเลซิตินในร่างกายลดต่ำกว่าคนปกติ
            ถ้าเราได้รับอาหารถูกส่วนจากธรรมชาติ  ตับของเราก็จะสร้างเลซิตินขึ้นมาใช้เอง  เมื่อสร้างเสร็จจะปล่อยลงสู่
ลำไส้เล็ก  แล้วถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด  ในการสร้างเลซิติน  ร่างกายของเราต้องการวัตถุดิบเป็นปริมาณมาก
            เลซิตินมีอยู่ในอาหารหลายชนิด  นอกจากมีในไข่แดง  น้ำมันพืชที่ไม่ผ่านกรรมวิธี  และถั่วที่ได้กล่าวมาแล้ว เรา
ยังพบเลซิตินในเมล็ดธัญพืชทุกชนิดที่ไม่ได้ขัดเอาเปลือกออกจนหมด เช่น ข้าวซ้อมมือ  เลซิตินมีมากที่สุดก็ตรงจมูกข้าว
ในตับและหัวใจของสัตว์ก็มีเลซิตินมาก  แต่อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันนี้มกจะเหลือเลซิตินอยู่น้อย เช่น น้ำมันพืชก่อนผลิตออกมาเป็นสินค้าต้องผ่านการกลั่นด้วยด่างเสียก่อนทำให้เลซิตินหมดไป   ส่วนข้าวก็ถูกขัดเอาเปลือกออกและจมูกข้าวทิ้งไปเป็นรำเสียหมด   ข้าวขาวที่เรากินจึงเหลือเลซิตินน้อยมาก นับเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งที่เราควรได้เลซิตินในรูปอาหารเสริม


โสม-ตำนานแห่งยาอายุวัฒนะ

        
โสม – ตำนานแห่งยาอายุวัฒนะ
            เป็นที่ยอมรับกันว่าชาวจีนนั้นเด่นมากในเรื่องการเสาะหายะอายุวัฒนะ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ท่สุดที่เราสามารถค้นได้  ปรากฏว่าเมื่อสองพันกว่าปีก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้ได้สร้างตำหนักลับ ๆ ขึ้นหลายแห่งเพื่อให้บรรดาหมอหลวง
ได้ใช้เป็นที่ผลิตยาอายุวัฒนะ
           สำหรับโสม  คนจีนถือเป็นยาวิเศษเนื่องจากตกผลึกเป็นรูปร่างของคนจึงใช้รักษาโรคได้สารพัดชนิด เป็นทั้งยาชูกำลัง เพิ่มความกระชุ่มกระชวย และเป็นยาอายุวัฒนะ แต่โบราณถือกันว่าเป็นสมุนไพรำหรับองค์จักรพรรดิและคนในราชวงศ์เท่านั้น  หากใครทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองจักรพรรดิจึงจะประทานโสมให้เป็นบำเหน็จความชอบ  เพื่อให้เป็นยารักษายามเจ็บไข้   นับเป็นการโปรดเกล้า ฯ ให้ยืดอายุวิธีหนึ่ง  ดังนั้นบ้านไหนมีโสมก็เท่ากับว่าคนในบ้านนั้นจะมีอายุยืนยาวกว่าคนทั่วไป  ด้วยความเป็นมาเช่นนี้เอง  ความใผ่ฝันอันสูงสุดของชาวจันที่สืบทอดกันมากแต่โบราณก็คือจะต้องมีโสมติดบ้านเอาไว้เพื่อไว้ใช้ในยามเจ็บป่วย  เอาไว้เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในยามชรา  ด้วยเชื่อกันว่าโสมเป็นยาโป๊วชั้นยอด  ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาโสมจึงมีราคาแพงลิ่ว ๆ  ในกรุงปักกิ่งโสมชั้นดีเคยขายกันด้วยวิธีเอาทองคำมาแลกแบบน้ำหนักต่อน้ำหนักเลยทีเดียว  ส่วนโสมชั้นสูงสุดที่เรียกกันว่าโสมพันปีนั้นย่อมมีราคามากกว่า  ใครขุดหาได้ก็รวยกันทั้งชาติ ทุกวันนี้โสมยังมีราคาแพง  เมื่อ 15 ปีก่อน โสมคนหนักประมาณ 1  ตำลึงจีนหรือ 37.5  กรัม มีค่าราว 80,000 บาท ด้วยเหตุที่เชื่อว่าโสมเป็นยาอายุวัฒนะทำให้โสมมีราคาแพงและเป็นที่ต้องการอย่างมากของชนเชื้อสายจีน เกาหลี  ซึ่งเป็นคนจำนวนมากของประชากรโลก  ดังนั้นโสมจึงเป็นพืชเศรษฐกิจทำเงินอย่างหนึ่ง  ปัจจุบันกล่าวกันว่าโสมที่ขึ้นตามป่าเขาไม่มีแล้วโสมที่ซื้อขายกันส่วนใหญ่เป็นโสมที่ปลูกกันขึ้นเองในเกาหลี  จีน   และอเมริกา  โสมที่ขุดได้จากธรรมชาตินั้นหายากยิ่ง ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงสนนราคาด้วยว่าจะเป็นเงินมหาศาลขนาดไหน หากใครมีไว้ในครอบครอง
          ความรู้เรื่องโสม
 โสมเป็นต้นไม้ในวงศ์อะราลิเอซี (Araliaceae)  อยู่ในวงศ์เดียวกับต้นเล็บครุฑ  และหนุมานประสานกาย
อยู่ในสกุลพาแนกซ์ (Panax)  ตรงกับภาษาลาตินว่าพานาเซีย (Panacea) แปลว่าสมุนไพรใช้บำบัดสารพัดโรค
               ต้นไม้ในสกุลนี้มีอยู่ 8ชนิดด้วยกัน แต่มีเพียง 2 ชนิดที่มีคุณค่าทางยา  นั่นคือโสมคน (Panax scinseng Nees,  Panax ginseng C.A.Meyer) กับโสมอเมริกา (Panax quinquefolium Linn.)
           โสมสองชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ส่วนโสมอื่น ๆ ไม่ปรากฏว่ามีตัวยาแต่อย่างใด
            โสมเกาหลี  (Panax ginseng C.A. Meyer)  เป็นพืชล้มลุก  มีลักษณะฉ่ำน้ำ ลำต้นสั้นพุ่งแทงดินขึ้นมาตรง ๆ ใบเรียงเป็นวง แต่ละใบแยกเป็นสามแฉก มีดอกเป็นช่อสีขาวคล้ายซี่ร่ม เช่นเดียวกับดอกผักชี  ช่อดอกจะแตกออกตรงง่ามของใบรวมสามใบที่มาบรรจบกัน มีผลสีแดง ผลหนึ่งจะมีเมล็ด 1-2 เมล็ด ชอบอากาศอบอุ่น มักขึ้นตอนเหนือของเส้นศูนย์สูตร รากเป็นง่ามมีกลิ่นหอม
               แต่เดิมชาวแมนจูเรียและชาวเกาหลีเวลาเสาะหาโสมจะใช้วิธีสังเกตโสมที่เกิดเองตามธรรมชาติจะขึ้นอยู่ใต้ต้นเคีย (Kia)  ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกับต้นหลิน (Linden, Tilia sp.) หรือต้นพาโลว์เนีย  ต้นไม้สองชนิดนี้จะเกิดมาคู่กันตลอด  ถ้าพบต้นหนึ่งก็จะพบต้นไม้อีกต้นหนึ่งเสมอไป  นักล่าโสมจึงใช้ต้นเคียเป็นที่สังเกตในการหาโสม  การขุดจะขุดกันในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น  เมือได้รากโสมมาเขาจะใช้วิธีชีววิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่ารากนั้นเป็นโสมจริง
หรือไม่  วิธีที่ว่านี้ก็คือให้คนสองคนเดินไปด้วยกัน  ถ้าเดินไปไกล 2-3 กม.แล้วคนที่อมรากไม้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อย แปล
ว่ารากไม้นั้นเป็นโสมจริง  ส่วนคนที่ไม่ได้อมอะไรจะรู้สึกอ่อนแรงกว่า
              ปัจจุบันไม่มีโสมให้เสาะหาอีกแล้ว  เราใช้โสมปลูกทั้งสิ้น แต่โสมที่จะใช้เป็นยาต้องมีอายุอย่างน้อย 4-6 ปี  ดินที่
ใช้ปลูกจะต้องไม่เคยใช้ปลูกโสมมาก่อนในระยะ 10-15 ปีที่ผ่านมาก การปลูกโสมต้องปลูกในที่ร่ม ทำหลังคามุงแดดบังแสงตามอายุของโสม  ในช่วงฤดูหนาวลำต้นบนดินจะเหี่ยวเฉาไปส่วนรากยังอยู่   ต่อเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิโสมจึงผลิต้นใบใหม่ออกมา  รากโสมก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จากการศึกษาพบว่าเมื่อโสมมีอายุ 6 ปีจึงจะมีคุณค่าทางยาสูงสุด  เมื่อขุดรากโสมขึ้น
มาจะคัดรากที่สมบูรณ์เอาไว้  ส่วนที่มีรูปร่างไม่ดีหรือเล็กเกินขนาดจะนำไปขายสดเพื่อรับประทานแบบหัวผักกาดหรือนำไปขายคั้นน้ำโสมมาดื่ม
              โสมเกาหลีในท้องตลาดมี 2 ชนิดคือโสมขาวกับโสมแดง  โสมแดง คือโสมที่ผ่านการอบไอน้ำเพื่อทำลายเอนไซม์
เชื้อรา  เชื้อโรคต่าง ๆ ทำให้โสมชนิดนี้มีฤทธิ์ในทางยามากกว่า  จึงมีราคาแพงกว่าโสมขาว
          โสมอเมริกา  (Panax  quinquefolium L.)  เดิมเป็นไม้ป่าทั่วไป  ขึ้นในควิเบก  มานิโตบา ในแคนาดาและในแคโรไลนาเหนือ  จอร์เจียเทนเนสซีซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา  ปัจจุบันมีการขุดพันธุ์มาปลูกกันแพร่หลายและมีตลาดแหล่งใหญ่คือ  ฮ่องกง
           โสมจีน  (Panax notoginseng Burk)    เป็นโสมที่ปลูกในประเทศจีน  มณฑลยูนนาน  กวางสี และบางส่วนของเวียดนาม  ใช้ประกอบในยาจีน มีคุณสมบัติห้ามเลือด  แก้ฟกช้ำและบวม
           โสมญี่ปุ่น (Panax pseudoginseng Wall.  Subsp.  Subsp. Japonicus Hara) เป็นยาแก้ปวดเกร็งในท้อง   ส่วนโสมหิมาลัย (Panax pseudoginseng subsp. Hialacius Hara) และโสมจูจื่อเซิน (Panax pseudoginseng var. major Burk)  ก็เป็นสมุนไพรในตำราจีนเช่นกัน   ยังมีโสมชนิดอื่นอีกที่อยู่ในตำราจีนซึ่งไม่มีผลเป็นยากระตุ้นความกระชุ่มกระชวยเช่นเดียวกับโสมเกาหลีและโสมอเมริกา
           โสมคุณภาพดี
                การปลูกโสมในเกาหลีทำกันมาช้านานตั้งแต่สมัยโคราล (Karal Age)  โสมที่ปลูกเรียกกันว่าเป็นโสมเหลือง
โสมที่มีคุณภาพดีที่สุดมีชื่อว่า “ไคโรนินจิน”   ปลูกกันมากที่เมืองไคโจ  การเพาะเมล็ดโสมกินเวลาราวปีครี่งกว่าจะได้ต้นกล้าไปปลูกเป็นต้นใหม่  เมื่ออายุ 3 ปีจะมีดอกและลูกสีแดง  ลูกโสมที่แก่จัดกินได้มีรสหอมชื่นใจเช่นเดียวกับรากและจะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุได้  6  ปี
              การกำหนดมาตรฐานของโสมจริง ๆ แล้วยังไม่มีมาตรฐานแน่นอนแต่ราคาของโสมขึ้นอยู่กับสี อายุ ขนาดและ
รูปร่าง  แต่ปัจจุบันนี้ประเทศเกาหลีพยายามกำหนดมาตรฐานของอุตสาหกรรมโสม  ใช้ตรวจชาโสมและสารสกัดจากโสม
ก่อนนำไปขายในตลาดยุโรปและอเมริกา