วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

supplement herb



Supplement herb
            ความรู้ในวิชาการเรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม  ถ้าจะอธิบายกันก็คงไม่มีวันจบ เพราะองค์ความรู้มีหลากหลายวิชา แต่ละวิชาแยกออกไปหลายแขนง  แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย พอจะสรุปสาเหตุต่าง ๆ ได้ดังนี้
             1.  อาหาร
           2. อากาศ
           3. ออกกำลัง
           4.   อารมณ์
          ในอดีตคนสมัยก่อนจะอายุไม่ยืนยาวเหมือนคนสมัยปัจจุบัน อายุขัยเฉลี่ยของคนในสมัยก่อนประมาณ 40-50 ปี
แต่ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของคนจะสูงขึ้นประมาณ 70-75 ปี เนื่องจากความเจริญทางด้านการแพทย์  ในอดีตอุตสาหกรรม
ยังไม่เจริญผู้คนมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่ายเหมือนคนสมัยปัจจุบันที่ดูภายนอกแล้วแข็งแรงแต่ภายในมีความเจ็บป่วย
ซ่อนอยู่เรียกว่าเป็นมนุษย์กึ่งสมบูรณ์
           วิชาการแพทย์สมัยก่อนบอกให้บริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องไปกินอาหารเสริมประเภท
วิตามิน เกลือแร่ให้ยุ่งยาก เปลืองเงิน เนื่องจากสมัยนั้นเข้าเน้นการรักษาโดยใช้ยามากกว่าการป้องกัน   เนื่องจากระบบ
เศรษฐกิจต้องมีการแข่งขันกันสูง เน้นการผลิตเพื่อให้ได้ปริมาณที่รวดเร็ว ในเวลาที่จำกัด สามารถที่จะรักษาสภาพอาหาร
ให้เก็บไว้ได้นาน ๆ โดยไม่เสียหายจึงต้องมีสารเคมีเข้ามาอยู่ในกระบวนการผลิตอาหาร  เช่น สารกันบูด  สารเร่งโต
สารเร่งเนื้อแดง สารปรอท  สีผสมอาหาร เป็นต้น
  -       โสมตำนานแห่งยาอายุวัฒนะ
 -       ประโยชน์ของเมลาโทนิน
 -       เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคอลลาเจน
-         โอเมก้า -3 มีอยู่ในปลาเยอะ
-          สารโฟเลทสำคัญต่อว่าที่คุณพ่อ-แม่
-          ผักโขมช่วยให้ตาแก่ช้า
-          แม่กินไข่ ลูกสมองดี
-          ธาตุเหล็กช่วยเพิ่มพลัง
-          เคี้ยว(หมากฝรั่ง)ความจำดี
-          กินนม กระดูกดีจริงหรือ
-          กินเบอร์รี่ ต้านมะเร็งหลอดอาหาร
-          ต่อมไพเนียล
-          การรักษาภูมิแพ้โดยใช้ธรรมชาติบำบัด
-          ความสำคัญของแมกนีเซียม
-          ผลจากการให้เด็กดื่มนมวัว
-               ลูทีนและซีแซนทีนสร้งดวงตา
-          สาเหตุของภูมิแพ้ 
-               หลีกพ้นจากต้อหิน
-                อย่าปล่อยให้พุงโต
-                จะกินดื่มอะไรถ้าไม่ได้ดื่มนมวัว
-                 คอลลาเจนกับกระดูกและข้อ  
-              พิธีเปิดอาคารสำนักงานใหญ่ บ.ซูเลียน(ประเทศไทย)
-          สินค้าคุณภาพจาก บ.ซูเลียน

-          ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร น้ำมัันตะไคร้หอม  ยาดม  

       

ผลจากการให้เด็กดื่มนมวัว





ให้เด็กดื่มนมวัว อาจทำให้โง่กว่าที่ควรเป็น

ดื่มนมวัวแล้วโง่ เป็นไปได้ยังไง!!? หลายคนอาจจะตกใจกับข้อความนี้เพราะมันช่างผิดกับภาพฝันที่ถูกบอกต่อกันมาโดยสารพัดหน่วยงาน แม้แต่หน่วยงานของรัฐก็ยังพยายามออกมาส่งเสริมให้เด็กไทยดื่มนมวัวมากขึ้นทำให้เราศรัทธาได้ว่า ดื่มนมวัวน่าจะมีแต่ผลดีต่อสุขภาพแน่นอน

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ออกมาบ่งชี้ถึงผลเสียของนมวัวมากขึ้นและมากขึ้น แต่ด้วยความคิดที่นมวัวได้กลายเป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ไม่สามารถแตะต้องได้ ปฏิกิริยาหลังการได้ยินใครพูดถึงผลเสียของนมวัวยังกับว่าจะเป็นบาปกันอย่างนั้นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่พอได้ยินข้อมูลเรื่องผลเสียของนมวัวจึงรีบปิดหูปิดตาตนเองเสียว่าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าความจริงก็ยังคงอยู่ตรงหน้านั้น ไม่ได้หายไปไหน

คนฉลาดกับคนธรรมดาล้วนมีศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เหมือนกัน แต่คนฉลาดต่างกับคนทั่วไปเพราะก่อนที่เขาจะเลือกศรัทธากับอะไร ล้วนต้องมีปัญญามากำกับ แทนที่จะรีบปิดรับข้อมูล เราลองมาใช้ปัญญาสำรวจดูความจริงสีดำของเจ้าน้ำนมสีขาวที่คนไม่ค่อยกล้าพูดถึงกันหน่อยดีไหม

ถ้าใครได้ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการให้เด็กทารกดื่มนมวัวในแคนาดา จะพบปรากฏการณ์หนึ่งที่หน้าสนใจ นั่นคือ สมาคมผู้บริโภคของแคนาดาได้รณรงค์และผลักดันให้บังคับใช้กฎหมาย ห้ามบริษัทนมวัวที่นั่นโฆษณาว่า "ดื่มนมวัวสูตรพิเศษของบริษัทเราแล้วเด็กจะฉลาดขึ้น"

ที่องค์กรผู้บริโภคต้องออกมาผลักดันเรื่องดังกล่าวเนื่องจากพบว่า นอกจากโฆษณาดังกล่าวจะไม่เป็นความจริงแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบอีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวแทนการกินนมแม่จะทำให้สมองไม่สามารถเจริญได้ดีเท่าเด็กที่มีโอกาสกินนมแม่ กล่าวสั้นๆ คือ "โง่กว่าที่ควรจะเป็น"

มีการค้นพบว่าสมองของเด็กที่เกิดออกมา จะพัฒนาไปได้เพียง 30% เท่านั้น แล้วจะมาเจริญต่ออีกภายนอกโดยอาศัยหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือสารอาหารที่ได้เข้าไป ว่ากันตามสายวิวัฒนาการแล้ว สมองของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็เปรียบเสมือนสมองของลิง เมื่อลิงเริ่มรู้จักกินปลาก็เริ่มได้สารอาหารใหม่ๆ เข้าไป สารอาหารที่ว่าคือกรดไขมัน DHA (Omaga-3), ARA (Omega-6) จะเข้าไปเป็น Precursor (สารตั้งต้น) และ Taurine(ทอรีน) ซึ่งเป็น Neural growth factor(สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมอง) ที่กระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการของสมองให้ฉลาดขึ้นจนทัดเทียมกับสมองคนอีกทีหนึ่ง

บริษัทนมวัวรู้ถึงจุดด้อยข้อนี้ดี ในระยะแรกบริษัทนมวัวจึงพยายามชดเชยจุดด้อยดังกล่าวด้วยการเติม Taurine ลงไปในนมวัว โดยหวังว่าจะทำให้เด็กที่ดื่มนมวัวมีพัฒนาการทางสมองเท่าเทียมกับเด็กที่ดื่มนมแม่ แต่จนแล้วจนรอด งานวิจัยก็ยังออกมายืนยันเหมือนเดิมว่า การเติม Taurine ลงไปในนมวัวไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเด็กที่ดื่มนมแม่ยังมีค่าการพัฒนาการทางสมองมากกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวถึง 3.5 แต้ม นั่นคือมีพัฒนาการต่อเนื่องเต็ม 70% ที่เหลือ ในขณะที่เด็กที่ดื่มนมวัวสมองยังไม่ได้พัฒนาการไปจากสมองลิงเท่าไหร่

บริษัทนมวัวจึงพยายามมองต่อไปอีกว่า ในนมแม่มี DHA และ ARA ในขณะที่นมวัวสูตรผสม Taurine ไม่มีเจ้าสาร 2 ตัวนี้ น่าจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมผลงานวิจัยจึงออกมาว่าเด็กที่กินนมแม่จึงยังคงมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัว

และเมื่อข้อมูลด้านนี้เริ่มเป็นที่รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาประชาชนชาวแคนาดา เดือดร้อนไปถึงบริษัทนมวัวดังกล่าวเพราะกระทบยอดขาย จึงมีความพยายามคิดสูตรนมใหม่เพื่อชดเชยจุดด้อยของนมวัว ในเมื่อนมวัวไม่มี DHA ก็เลยเติม DHA ใส่ลงไปในนมวัวซะเลย

แทนที่จะพูดว่าเป็นการชดเชยจุดด้อยของนมวัว ทางบริษัทนมวัวดังกล่าวกลับเอามาเป็นจุดขายซะ โดยเริ่มโหมโฆษณาว่า นมวัวสูตรใหม่นี้ช่วยให้เด็กที่กินแล้วฉลาดกว่าเด็กอื่นแทน (ทั้งที่จริงๆ แล้ว อย่างมากก็แค่ฉลาดทัดเทียมกับเด็กที่กินนมแม่) หนำซ้ำ...จะว่าเป็นความโชคร้ายของเด็กรุ่นนั้นก็ได้ที่ในระยะแรก บริษัทนมวัวได้ทำการเติมแต่ DHA ลงไปในนมวัวสูตรใหม่ แทนที่จะดี กลับมีงานวิจัยออกมาว่า เด็กที่กินนมวัวสูตรนี้กลับมีพัฒนาการที่แย่กว่านมแม่อยู่ดี

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า โดยธรรมชาติแล้ว ระบบตอบสนองทางเคมีนั้น จำเป็นจะต้องใช้ทั้ง DHA และ ARA ในกระบวนการนั้นอย่างสมดุล ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไป กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย การโฆษณาที่ว่า ดื่มนมวัวสูตรเสริม DHA แล้วเด็กฉลาดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะนอกจากจะไม่ฉลาดขึ้นกว่าเด็กปกติแล้วกลับโง่ลงกว่าศักยภาพที่เขาควรเป็น

บริษัทนมวัวดังกล่าวจึงพยายามปรับแก้เกมอีกหน ด้วยการเติม ARA ลงไปในนมวัวอีกตัวหนึ่ง พร้อมกับสร้างแคมเปญใหม่เรื่อง "นมวัวสูตรสมดุล" บอกว่าปรับปรุงใหม่ (แต่ไม่เคยมีแม้เสียงกระซิบบอกประชาชนคนทั่วไปเลยว่าทำไมต้องปรับสูตรใหม่) แน่นอนว่าบริษัทนมอื่นๆ ก็เลยต้องมีการปรับสูตรนมวัวของตัวเองด้วยเช่นกัน

เพื่อให้นมวัวยังคงขายได้ จะเห็นว่ามีการเติมสารต่างๆ ลงไปเพื่อชดเชยข้อด้อยให้นมวัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่เรารับรู้กันทั่วไปก็คือ มีข่าวการเรียกเก็บนมล๊อตต่างๆ ที่เด็กกินแล้วมีปัญหาถี่ขึ้น เดี๋ยวๆ ก็มีข่าวเรียกเก็บนมอีกยี่ห้อแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราแทบจะไม่เคยได้ยินปรากฏการเรียกเก็บนมวัวที่มีปัญหาเลย สาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือ แหล่งสารอาหาร AHA, และ ARA นั้นต้องเอามาจากสาหร่ายทะเลเป็นส่วนใหญ่ สาหร่ายทะเลมีหลายชนิด ชนิดที่เป็นพิษก็มี ถ้ามีปนเปื้อนเข้ามาแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นพิษต่อเด็กทารกได้

ทางสมาคมผู้บริโภคทนไม่ได้กับปัญหาดังกล่าว จึงออกมาเรียกร้องให้ปลดโฆษณาดังกล่าวออกจากสื่อทั้งหมดที่มีในแคนาดา และหลังจากผ่านการต่อสู้ที่ค่อนข้างยาวนาน ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ ในแคนาดาจึงไม่มีโฆษณาเกินจริงในลักษณะดังกล่าวเกี่ยวกับนมวัวอีกต่อไป ฝันร้ายของชาวแคนาดาจึงสิ้นสุดลง

แต่ฝันร้ายของคนไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรามีโฆษณานมวัวที่เสริม AHA ในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในโฆษณาจะเห็นเด็กที่ถูกทำท่าทางและพฤติกรรมให้ฉลาดกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียน เป็นที่ชื่นชมของคุณครูและพ่อแม่ออกมาวิ่งเล่นและดื่มนมวัวสูตรดังกล่าวให้เห็น รัฐบาลของเราออกมาเรียกร้องให้เด็กดื่มนมวัวมากขึ้นหลังจากเปิด FTA นม จนกลบข่าวสารสำคัญจากแคนาดาไปหมด ผมหวังว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ จะช่วยกันเผยแพร่ความจริงข้อนี้ต่อๆ กันไป เพื่ออนาคตของเด็กไทยที่ฉลาดในวันหน้านะครับ เอ้า!... ช่วยกันหน่อยพวกเรา

ลูทีนและซีแซนทีนสร้างดวงตา
เรื่องน่ารู้สำหรับ ลูทีน ซีแซนทีน อาหารบำรุง สายตา  
สาร ลูทีนและซีแซนทีน เหมาะกับผู้ใช้สายตามาก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออยู่กับแสงสว่างจ้า กลางแดด  ผู้ที่ต้องขับรถกลางคืนบ่อย ๆ ผู้ที่โดนแฟลช  ดูทีวีมากและนาน  ผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งเต้านม

ประโยชน์ โดยสรุปของสาร ลูทีนและซีแซนทีนที่มีงานวิจัยมีดังนี้คือ   

 
ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก และโรคจอตาเสื่อม ( AMD )  มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจ  รายละเอียดดังนี้

         ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารธรรมชาติจัดอยุ่ในกลุ่มของสารรงควัตถุที่มีสีในตระกูลของสาร แคโรทีนอยด์  แต่มีความแตกต่างจากคาโลทีนอยด์ชนิดอื่นตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามิน เอ  ลูทีน  และซีแซนทีน มีในเนื้อเยื่อของร่างกายมนุษย์หลายจุดด้วยกัน ส่วนของร่างกายที่มีสาร ลูทีน  และซีแซนทีน ได้แก่ในลูกตา คือ ที่เลนส์ตา และจอรับภาพของตา คือเรติน่า ตรงตำแหน่ง จุดรับภาพของลูกตา ( Macula ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอตาเรติน่าเพราะเป็นจดุที่รูปภาพและแสงส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ เป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดที่สุดนั่นเอง ในธรรมชาติแล้วแม้จะมีแคโรทีนอยด์มากกว่า 600 ชนิด แต่มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่พบในมนุษย์  และมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่พบในจุดรับภาพของลูกตา ( Macula ) คือ ลูทีน ( Lutein ) และ ซีแซนทีน ( Zeaxanthin )    ในจอตาทั้งคู่ทำหน้าที่
     :
ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา
     :
ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระและกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา

     
นอกจากนี้ ลูทีน  และซีแซนทีน ยังพบได้ใน ตับ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต และเต้านมแต่ก็เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ ร่างกายของเราจะได้รับสารนี้ก็ต่อเมื่อรับประทานพืชผักที่มีสารนี้เท่านั้น แต่สารซีแซนทีนนอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้  พืชผักที่มีสาร ลูทีน  และซีแซนทีน โดยมากมักจะเป็นผัก ผลไม้ ที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม 

   
 ลูทีนและซีแซนทีน มีประโยชน์ในโรคหลายชนิดด้วยกัน ที่สำคัญคือ โรคต้อกระจก และโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยลดอุบิตการณ์ในโรคมะเร็ง บางชนิด

โรคต้อกระจก ( Cataracts )
คือภาวะที่กระจกตา หรือเลนส์ตาขุ่นทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในตาได้ตามปกติ ตาจะมัวมากน้อยขึ้นอยู่กับต้อกระจกขุ่นมากน้อยแค่ไหน ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาจเป็นพร้อมกันทั้งสองตา ต้อกระจกจะค่อย ๆ ขุ่นไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลาเป็นปี ๆ ต้อกระจกไม่ใช่โรคมะเร็ง ต้อกระจกสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การผ่าตัดลอกต้อกระจกขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคนโดยจักษุแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และเลือกวิธีการผ่าตัดให้ได้ดีที่สุด

สาเหตุหลัก คือ การเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ขุ่น และนิวเคลียสแข็งขึ้น พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในผู้สูงอายุ พบบ่อยตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุอื่น เช่น จากกรรมพันธุ์ จากอุบัติเหตุตา จากการติดเชื้อ จากการติดเชื้อในครรภ์มารดา ถ้าพบตั้งแต่เกิดก็เรียกว่า ?ต้อกระจกแต่กำเนิด? เช่นในเด็กที่เกิดหลังจากมารดาติดหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ ในคนที่เป็นเบาหวานพบว่าเป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างมาก  ตาปกติเลนส์ตาจะใส และปล่อยให้แสงผ่านไปได้ แต่เมื่อเป็นต้อกระจก  เลนส์ตาจะขุ่นแสงผ่านเข้าไม่ได้ เมื่อเริ่มเป็นต้อกระจก ผู้ป่วยจะรู้สึกตาข้างนั้นมัวคล้ายมองผ่านหมอก อาจมองเห็นภาพซ้อน ขับรถตอนกลางคืนลำบากขึ้น เมื่อต้อกระจกเป็นมากขึ้น จะสามารถสังเกตเห็นต้อสีขาวที่ม่านตาได้

     
การตรวจวินิจฉัย เมื่อมีอาการตามัวควรไปรับการตรวจจากจักษุแพทย์ ต้อกระจกจะทำให้สายตามัวไปทีละน้อย เมื่อต้อสุกจะมองเห็นแต่มือไหว ๆ หรือเห็นเพียงแสงไฟเท่านั้น

โรคจุดรับภาพเสื่อม( Age-Related Macula Degenerationหรือ AMD ) 
เกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพ (Macular) ซึ่งเป็นกลางจอตา (Retina) ทำให้การมองเห็นภาพเบลอ บิดเบี้ยวบางครั้งอาจรุนแรงขนาดเห็นจุดดำมาบังภาพอยู่ตลอดเวลาอาจมีสาเหตุมาจาก
-
ปัจจัยทางธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่น  การเสื่อมสภาพของดวงตาเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือการถ่ายทอดผ่านทางกรรมพันธุ์จากบรรพบุรุษ
-
ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
          :
การเผชิญแสงแดดจ้า   ทำให้ดวงตาได้รับรังสี UV  โดยตรง
          : 
การมีพฤติกรรมชอบบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายให้เสื่อมสภาพได้  รวมถึงการขาดสารอาหารบางชนิด
          :
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูงเนื่องจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะเป็นตัวเร่งให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
          :
การสูบบุหรี่ เพราะควันในบุหรี่มากไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์ในตา
-
ปัจจัยที่เกิดจากอาการเจ็บป่วยของโรคอื่น เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ก็มีส่วนเนื่องจากโลหิดในตาเสื่อมลง จึงส่งผลให้หลอดเลือดฝอยของจอประสาทตารั่วซึมหรือแตกง่าย

ลูทีนและซีแซนทีน กับโรคต้อกระจก
กลไกของการที่ ลูทีน และซีแซนทีน ช่วยลดหรือป้องกัน หรือชะลอการเกิดต้อกระจกได้นั้นเป็นเพราะ เป็นคุณภาพของสารเองที่จะลดกลไกการเกิดความเสื่อม ของโรคต้อกระจกโดยตรง   นอกจากนี้ก็ยังพบว่าทั้ง ลูทีน  และซีแซนทีน ต่างก็มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในโรคทึ่เกิดจากการมีสารอนุมูลอิสสระสูงได้    มีการค้นพบที่ชัดเจนว่า การได้รับแสงเป็นประจำได้ก่อให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสสระใน กระจกตาและจอตาได้จริง มีผลทำให้เกิดออกซิเดชั่นของโปรตีนและไขมันในเลนส์ตา ทำให้ไปในทิศทางของความเสื่อมของเลนส์ตาและก่อให้เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุได้   จึงเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมสารลูทีน  และซีแซนทีน จึงสามารถลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและโรคของจอตาคือโรค  โรคจุดรับภาพเสื่อม ซึ่งมีกลไกการเกิดโรคจากความเสื่อมและอนุมูลอิสสระได้เช่นกัน  ในเรื่องของต้อกระจก  ได้มีการวิจัยวัดความขุ่นของเลนส์ตา ระดับของลูทีน  และซีแซนทีน ในกระแสเลือด ในกลุ่มผู้สูงอายุต่างๆ พบว่า การมีระดับ ของลูทีน  และซีแซนทีน ในกระแสเลือดสูงจะผกผันกับความขุ่นของเลนส์ตาในผู้สูงอายุ เป็นการวิจัยของจักษุแพทย์ และผู้วิจัยสรุปว่า  ลูทีน  และซีแซนทีน น่าจะลดการเกิดความเสื่อมของเลนส์ตาในผู้สูงอายุได้จริง   ยังมีการวิจัยว่าการรับประทานลูทีน ในปริมาณสูง เพิ่มความสามารถในการมองเห็น ของผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกไปแล้ว การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยที่ดีมาก และทำการทดลองเป็นเวลานานถึงสองปีทีเดียว  การวิจัยที่ยิ่งใหญ่ถึงคุณประโยชน์ของลูทีน และซีแซนทีน ทำในอเมริกา สองงานวิจัย งานวิจัยแรกทำที่ Harvard School of Public Health, Boston ในผู้ชาย 36,644 คน ที่ได้รับอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ พบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารเสริม เป็น  ลูทีน และซีแซนทีน จะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกถึง 19%  และอีกงานวิจัยทำที่ University of Massachusetts ทำในสุภาพสตรี ถึง  50, 461 คน เป็นการวิจัยทำนองเดียวกัน แต่ทำในผู้หญิงเท่านั้นพบว่า ลูทีน  และซีแซนทีน จะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกถึง 22%  นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำที่ University of Wisconsin-Madison Medical School  ในผู้สูงอายุ 43-84 ปี จำนวน1,354 คน พบว่า ลดอุบัติการณ์ของ ต้อกระจกที่เกิดตรงกลางเลนส์  ( nuclear cataracts ) ได้ประมาณ 50%  ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก เนื่องจากมีงานวิจัยที่ชัดเจนมากมายถึงขนาดนี้จึงเป็นที่ยอมรับว่า ลูทีน  และซีแซนทีนลดอุบัติการณ์โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง

ลูทีน และซีแซนทีน กับโรคจุดรับจอภาพเสื่อม
นอกจาก ลูทีนและซีแซนทีน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกแล้ว  ยังพบว่ามีประโยชน์ในโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม ซึ่งมีหลายๆการศึกษาสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว โดยพบว่า ถ้าปริมาณ Lutein & Zeaxanthin ในลูกตาลดน้อยลง จะพบความเสี่ยงมากขึ้นในเป็นโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม และความเสี่ยงในการเป็นโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม จะลดลง หากมีปริมาณ Lลูทีนและซีแซนทีน ในเลือดสูงขึ้น  แสดงให้เห็นว่า การบริโภค อาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีน สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้

สาเหตุของภูมิแพ้





รู้เท่าทันภูมิแพ้
เมื่อพูดถึงโรคภูมิแพ้ แน่นอนเหลือเกินที่มโนภาพของคุณจะนึกถึงคนที่ตื่นนอนตอนเช้าก็ฮ้าดเช้ยไม่หยุด หรือไม่ก็เป็นเจ้าชายจมูกแดงอยู่ตลอดเวลา บางคนนึกถึงผื่นคันตามตัวพร้อมกับเถียงคอเป็นเอ็นว่า ของฉันก็ภูมิแพ้นะยะ ในขณะที่อีกคนยกมือขึ้นค้านหัวชนฝา บอกว่าเด็กที่บ้านแพ้นม ก็เป็นภูมิแพ้เช่นเดียวกัน ขอบอกว่าไม่ต้องเถียงกันให้มากความไปเสียเปล่า ๆ โรคภูมิแพ้เป็นปฏิกิริยาที่มากเกินไปของระบบภูมิคุ้มกันที่มีต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย

หลายคนเหลือเกินที่คิดว่าโรคภูมิแพ้นั้น ภูมิต้านทานของตนเองอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วนั้น เกิดจากภูมิต้านทานเพี้ยนไป ทำงานไวเกินกว่าเหตุ เจอฝุ่นนิดหน่อยก็เกิดปฏิกิริยา กินกุ้งไปตัวนิดเดียวก็เล่นงานซะผื่นเต็มตัว

จึงพอสรุปได้ว่าโรคภูมิแพ้เป็นกลุ่มโรคนั่นเอง โดยโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ว่ากันตั้งแต่- จมูกอักเสบ แพ้อากาศ หวัดเรื้อรัง

- หอบหืด
- ภูมิแพ้ของตาและหู
- ผื่นแพ้
- ลมพิษ
- แพ้อาหาร
- แพ้แมลงและปฎิกิริยาแอนนาฟัยแลกติก
- แพ้ยา
โดยอาการของโรคภูมิแพ้แสดงออกได้กว้างขวางอย่างนี้ขอบอกไว้เลยว่าไม่ใช่โรคติดต่อ จากคนที่เป็นภูมิแพ้ไปสู่คนปกติที่ไม่เคยมีอาการภูมิแพ้ได้ ไม่เหมือนโรคติดเชื้อทั่วไป

สาเหตุของโรคภูมิแพ้

1.กรรมพันธุ์

-กรณีที่บิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ 50-70 %

- ถ้าบิดาหรือมารดาคนหนึ่งคนใดเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย 30-50 %

- โดยโรคภูมิแพ้ที่ลูกเป็นอาจเป็นประเภทเดียวหรือคนละประเภทกับบิดาหรือมารดาก็ได้

2.สิ่งแวดล้อม

คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้สูงจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดปราศจากฝุ่น ไรฝุ่นหรือควันไฟที่หนาแน่นด้วยเช่นกัน










อาการภูมิแพ้แยกจากอาการไข้หวัดธรรมดาคือ

อาการไข้หวัด จะมีไข้ มีอาการปวดเมื่อยตามตัว มีอาการเจ็บคอ มีเสมหะน้ำมูก ระยะเวลาการเป็นมักไม่เกิน 1สัปดาห์ และเป็นโรคที่ติดต่อกันทางทางเดินหายใจ

อาการภูมิแพ้

- ไม่มีไข้ ระยะเวลาที่เป็นจะเรื้อรังยาวนานเป็นเดือน หรือเป็นปี

- คัดจมูก มักจะคัดสลับด้านกัน จะรู้สึกตันจมูก มักจะมีอาการตอนเช้า

- น้ำมูกไหล ส่วนมากจะมีสีใสหรือขาวขุ่น แต่ถ้ามีการติดเชื้อแทรกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเขียว

- จาม คันในจมูก คันในลำคอและเพดานปาก

บางรายอาจมีอาการทางตา เช่นคันตา ตาบวม น้ำตาไหล เพราะเกิดจากการแพ้ที่เยื่อบุ ภายในตาร่วมด้วย เรียก Allergic rhinoconjunctivitis นอกจากนี้ยังอาจจะมีอาการอื่น เช่น คันหู หูอื้อ ปวดศีรษะ การรับกลิ่นเสียไป ยิ่งถ้าอาการเกิดในเด็กอาจทำให้ไอเรื้อรัง นอนหายใจเสียงดัง กรน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่มีสมาธิ ไม่เจริญอาหาร การเจริญเติบโตช้าตามมาได้

ในรายที่มีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่นไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบเป็นภาวะติดเชื้อที่เกิด ขึ้นได้บ่อยหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา ในเด็กบางคนอาจมีผลให้โครงสร้างกระดูกหน้าเปลี่ยนแปลงไป เพราะต้องหายใจทางปากเป็นเวลานาน ๆ ในผู้ใหญ่บางคนอาจเกิดริดสีดวงจมูกได้

การรักษาในทางธรรมชาติบำบัด

การรักษาในแนวธรรมชาติบำบัดนั้นมองแบบองค์รวม สิ่งที่ควรต้องปรับจะยึดหลักให้ สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่การกินที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ การล้างพิษที่ถูกวิธี การได้วิตามินเสริมเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้ การนอนพักผ่อนที่เพียงพอ ตลอดจนการฝังเข็ม หรือแม้กระทั่งการจัดการกับความเครียด ก็ทำให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นได้

- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด! โดยผู้ป่วยจะรู้ถึงสาเหตุของการแพ้ของตนเองได้จากการสังเกต และที่แน่นอนขึ้นอีกคือการทำการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง ( Allergy skin prick test) เช่นถ้าแพ้ขนสัตว์ก็หลีกเลี่ยงไม่ให้มีสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เป็นต้น

หลักของการล้างพิษ
1. การกินเพื่อล้างพิษ 2. การอดเพื่อสุขภาพ 3. การสวนลำไส้เพื่อล้างพิษ 4. การฝึกปราณเพื่อล้างพิษ 5. การทำสมาธิเพื่อล้างพิษ
- อาหารรักษาโรคแพ้อากาศ

1.อาหารที่ควรรับประทาน

ข้าวกล้อง เป็นอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ เพราะอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน อี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน บี ที่มีส่วนสำคัญในการบรรเทาอาการภูมิแพ้

ผักสด ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใย เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกิน

ผลไม้สด มีวิตามิน และเส้นใยเป็นหลัก

2.อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารขยะ ซึ่งมี 3 กลุ่ม คือ

- ซากอาหาร ตรงข้ามกับอาหารสด เช่น ผักดอง ผักแห้ง อาหารกระป๋องต่าง ๆ

- อาหารปลอมปน ตรงข้ามกับอาหารบริสุทธิ์ เช่น น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ ซอง

- อาหารดัดแปลง ตรงข้ามกับอาหารธรรมชาติ เช่น ลูกชิ้น กุนเชียง ไส้กรอกฝรั่ง และที่สำคัญ รวมทั้งนม และผลิตภัณฑ์จากนมด้วย ที่ควรต้องงดอย่างสิ้นเชิง



























อย่าปล่อยให้พุงโต


         พุงโตสมองแฟบ
          นักวิจัยมหาวิทยาลัยแพทย์บอตันของสหรัฐฯ  พบว่าผู้ที่ปล่อยให้พุงโตกำลังเผชิญภัยกับสมองแฟบหนักขึ้น
พวกเขาได้รู้จากการศึกษาจากผู้ที่อายุเฉลี่ย 60 ปีส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงร้อยละ 70  จำนวนไม่ต่ำกว่า 700 คน มาก่อนว่า
การมีน้ำหนักเกินเกี่ยวพันกับสมองที่แฟบเล็กลง  โดยเฉพาะพวกที่ป่องกลางมาก ๆ   เพราะมีไขมันจับเกาะอยู่รอบอวัยวะในช่องท้องต่าง ๆ
         นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการวัดดัชนีมวลกายขนาดรอบเอว  และให้เอกซเรย์ตรวจปริมาณของไขมันในช่องท้องของ
 แต่ละคน  ได้พบเรื่องน่าวิตกว่า  ผู้ที่มีดัชนีมวลกายสูงขึ้นขนาดของสมองจะฝ่อเล็กลง  ซึ่งเคยค้นพบในการศึกษาเมื่อก่อนหน้านั้นมาแล้ว  แต่การค้นพบครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า  ไขมันในช่องท้องกับความเสี่ยงกับโรคสมองเสื่อม เกี่ยวพันกันอยู่
อย่างแนบแน่น
           ดร.รีเบกกา ผู้บริหารของกองทุนวิจัยโรคสมองเสื่อมแห่งอังกฤษ   กล่าวว่า “ผลการศึกษาส่อว่าสุขภาพช่วงวัยกลางคน มีผลต่อความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม  จึงไม่ควรปล่อยตัวให้สายเกินไปหว่ากลับตัวมาสู่วิถีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง  และรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในพิกัดเสีย   มันไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายดีเท่านั้น   แต่ยังรวมถึงสมองด้วย”      

หลีกพ้นจากต้อหิน


            หลายคนคุ้นเคยกับคำว่าต้อกระจกมากกว่าต้อหิน ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาเราขุ่นมัวเหมือนกระจกฝ้าทำให้เห็นไม่ชัด ส่วนต้อหินไม่ได้หมายความว่าเลนส์ตาเราจะแข็งเหมือนหิน แต่หมายถึงการเสื่อมของประสาทตาจากความดันในตาซึ่งสูงขึ้นหรือบางคนความดันตาก็ไม่ได้สูง
 การทำงานของตา

การที่จะเข้าใจโรคต้อหินจะต้องเข้าใจถึงโครงสร้างของตา ตาของเรามีลักษณะกลม มีเปลือก
ตาขาว(sclera ) หุ้ม
น้ำตาและน้ำเลี้ยงตาเหมือนกันหรือไม่
น้ำตาเป็นน้ำที่สร้างจากต่อมน้ำตาและหล่อเลี้ยงภายนอก ส่วนน้ำเลี้ยงตาจะอยู่ในลูกตาไม่ออกสู่ภายนอก น้ำเลี้ยงตาจะหล่อเลี้ยง กระจกตา เลนส์และม่านตา
อยู่ภายนอก ส่วนหน้าของลูกตาซึ่งเป็นส่วนที่เรามองเห็น จะมีเยื่อบางๆหุ้มอยู่เรียกเยื่อนี้ว่า conjunctiva ถัดจากนั้นเป็นชั้นที่เรียกว่า กระจกตา (cornea) เป็นทางให้แสงผ่านชั้นนี้หากขุ่นมัวเราสามารถผ่าตัดเปลี่ยนได้ ถัดจากนั้นก็จะเป็นรูม่านตา pupil ซึ่งจะปรับปริมาณแสงที่ผ่านถ้าสว่างมากรูม่านตาก็จะเล็ก หากมือรูม่านตาก็จะกว้างเพื่อให้แสงผ่านเข้าตามากขึ้น แสงจะผ่านไปเลนส์ lens และไปที่จอรับภาพ retina ในตาจะมีน้ำเลี้ยงเรียก aqueous humor ซึ่งเหล่าเลี้ยงเลนส์ กระจกตา และจะถูกดูดซึมตามท่อข้าง iris muscle ทำให้มีความสมดุลของน้ำในตา
ต้อหินคืออะไร
          ต้อหินเป็นภาวะที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้นและมีการเสื่อมของประสาทต าและสูญเสียการมองเห็น ความดันในตาที่สูงจะกดดันเส้นประสาทตา (optic nerve)ให้เสื่อม ความดันสูงเป็นเวลานานประสาทตาก็จะเสื่อมทำให้สูญเสียการมองเห็น การสูญเสียการมองเห็นจะเริ่มที่ขอบนอกของลานสายตา ส่วนตรงกลางภาพยังเห็นชัด หากไม่ได้รักษาการมองเห็นจะจะได้ภาพเล็กลง การเปลี่ยนแปลงจะค่อยๆเป็นโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว โดยมากมักจะเป็นสองข้าง อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อน

อาการของต้อหิน
ผู้ที่มีความเสี่ยง
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
  • ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
  • ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก
  • ผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์
  • ผู้ที่ใช้ยา steroid
เนื่องจากโรคต้อหินมีการดำเนินอย่างช้าๆ ความดันในตาค่อยๆเพิ่มดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่มีอาการ นอกจากผู้ป่วยบางรายที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการเห็นไม่ชัด เมื่อมองแสงไฟจะเห็นรุ้งกินน้ำเป็นวงๆ ปวดตา ปวดศีรษะ โรคต้อหินเป็นได้ทุกอายุ คนที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้แก่ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ดังนั้นแพทย์แนะนำให้มีการตรวจตาเป็นประจำ แนะนำว่าผู้ที่อายุ 40 ปีควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคต้อหิน หากปกติก็ให้ตรวจทุก 2-4 ปี สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีควรได้รับการตรวจคัดกรองทุก 2 ปี สำหรับท่านที่มีความเสี่ยงต่อโรคต้อหินควรได้รับการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 35 ปี
ชนิดของโรคต้อหิน
Open angle glaucoma

แนวสีเขียวเป็นแนวทางน้ำเลี้ยงตาไหลเวียนและไหลเข้าท่อระบายน้ำเลี้ยงตา(drainage canals) การอุดจะเกิดที่ที่ทางเดินท่อน้ำตาถูกอุดตัน
เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดของต้อหิน เกิดจากการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงตาอุดตัน ทำให้ความดันในลูกตาสูง (intraocular pressure IOP) ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ ไม่มีสัญญาณเตือนหากไม่พบก็จะมีการเสื่อมของสายตา ต้อหินชนิดนี้ตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยา

Angle closure glaucoma
จากภาพจะเห็นว่าท่อระบายน้ำตาถูกปิดโดยกล้ามเนื้อม่านตา Iris
พบไม่บ่อย เกิดเมื่อมุมระหว่าง iris และ corneaแคบ ต้อหินชนิดนี้จะเกิดอาการอย่างเฉียบพลันเนื่องจากมีการอุดของระบบท่อระบายทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยาบางชนิดหรือการที่อยู่ในที่มืดจะทำให้รูม่านตาขยายก็จะทำให้เกิดต้อหินชนิดนี้ได้ อาการที่สำคัญคือปวดศีรษะ ปวดตา คลื่นไส้อาเจียน เห็นแสงเป็นสายรุ้งรอบดวงไฟและตามัวลง หากมีอาการนี้ต้องรีบพบแพทย์เพราะหากช้าจะทำให้เกิดการทำลายประสาทตา การรักษามักจะต้องผ่าตัด
ต้อหินที่เกิดจากสาเหตุอื่น
เช่นการอักเสบของตา การได้รับอุบัติเหตุ โรคเบาหวานหรือการใช้ยาเช่น steroid ต้อหินชนิดนี้จะมีอาการไม่รุนแรง การรักษาก็ขึ้นกับความรุนแรงและชนิดของต้อหิน
Normal tension glaucoma NTG
ต้อหินชนิดนี้จะมีความดันลูกในตาปกติแต่ประสาทตาก็ถูกทำลาย การรักษายังเป็นที่ถกเถียงกัน
Pigmentary glaucoma
เกิดเม็ดสีของตาหลุดไปอุดท่อระบาย การรักษาใช้ยาหรือ laser
การวินิจฉัย
หากแพทย์สงสัยว่าจะเป็นต้อหินแพทย์จะตรวจตาอย่างละเอียด
เป็นการวัดความดันลูกตา แพทย์จะหยอดยาชาหลังจากนั้นก็จะวัดความดันลูกตา ค่าความดันของลูกตาปกติ 12-22 มม.ปรอทคนที่เป็นต้อหินมากจะมีความดันในลูกตามากกว่า 20 มม.ปรอท

เป็นการตรวจลานสายตาของผู้ป่วย กล่าวคือเวลาเรามองเราสามารถมองได้เป็นบริเวณกว้าง หากเป็นโรคต้อหินพื้นที่เรามองจะแคบลงดังแสดงในรูปข้างบน วิธีการตรวจผู้ป่วยจะมองตรงแล้วจะมีหลอดไฟหรือแสงวางตำแหน่งต่างๆกันหากเราเห็นก็บอก แพทย์จะจดตำแหน่งที่เห็นเพื่อจะตรวจสอบลานสายตาว่าแคบหรือปกติ
การตรวจ Gonioscopy
เป็นการตรวจมุมของกล้ามเนื้อ iris กับ cornea เป็นการตรวจเพื่อจะบอกว่าเป็นต้อหินชนิดมุมปิดหรือเปิด โดยแพทย์จะหยอดยาชาและเอาเครื่องมือติดตาซึ่งจะมีกระจกซึ่งแพทย์จะสามารถมองเห็นว่ามุมปิดหรือมุมเปิด
โรคต้อหินรักษาหายขาดหรือไม่
            โรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดแต่สามารถควบคุมได้ เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคต้อหินแล้วต้องติดตามการรักษาต่อเนื่อง หลักการรักษาคือการลดความดันในลูกตา ป้องกันตาบอดโดยการใช้ยาหยอด ยารับประทาน การรับประทานยา การผ่าตัด
วิธีการรักษามีอย่างไรบ้าง
การใช้ยาหยอดตา
          ยาหยอดตาที่ใช้รักษาต้อหินหากใช้ไม่ถูกต้องก็จะเกิดผลข้างเคียงและไม่มีประสิทธิภาพวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องมีดังนี้
  • ตรวจชื่อยาว่าถูกต้องหรือไม่
  • ล้างมือให้สะอาด
  • เขย่ายาให้เข้ากัน
  • เอนตัวไปข้างหลัง
  • เหลือกตามองไปข้างบน
  • ดึงหนังตาล่างออกเพื่อเป็นแหล่งหยอดยา
  • หยอดยาลงบนหนังตาล่างแล้วปิดตา เอนนอน
  • อย่าให้ขวดยาถูกตา
  • กดที่หัวตาเบาๆ 2-3 นาที เพื่อมิให้ยาไหลลงในท่อน้ำตา
  • ใช้ผ้าเช็ดยาที่อยู่รอบตา
  • ล้างมืออีกครั้ง
  • หากต้องหยอดยาอีกชนิดหนึ่งให้รอ 5 นาทีค่อยหยอดชนิดใหม่
ชนิดยา
ชื่อยา
การออกฤทธิ์
ผลข้างเคียง
Beta blocker
Ateoptic,Betaophtiole,
Betagan,Betoptic
glaucooph,nyolol
timolol,Fortil
ลดการสร้างน้ำเลี้ยงตา
ทำให้หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตลดลง หอยหืดมากขึ้นในคนที่เป็นหอบหืด
Carbonic anhydrase inhibitor
Azopt,trusopt
ลดการสร้างน้ำเลี้ยงตา
ตามัว คันตา ตาแห้ง หากแพ้ยา sulfa ไม่ควรใช้Azopt
Miotic
pilogel HS
เพิ่มการไหลเวียนของน้ำเลี้ยงตา
มองไม่ชัดในที่มืดเนื่องจากรูม่านตาเล็ก
Postaglandin
xalatan
เพิ่มการไหลเวียนของน้ำเลี้ยงตา
มีการเปลี่ยนเป็นสีเป็นน้ำตาลของม่านตา
Alpha adrenergic agonist
alphagan
ลดการสร้างน้ำเลี้ยงตา
อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ตามัว ปากแห้ง จมูกแห้ง
Sympathomimetic

เพิ่มการไหลเวียนของน้ำเลี้ยงตา
ปวดศีรษะ ตามัว
การรักษาโดยการผ่าตัด
การผ่าตัดทุกชนิดจะมีความเสี่ยงแพทย์จะเลี่ยงการผ่าตัด แต่การผ่าตัดปัจจุบันก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี การผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นต้อหินชนิดมุมปิดclose angle glaucoma หรือในรายที่ใช้ไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียงของยา การผ่าตัดมักจะเลือกผ่าข้างใดข้างหนึ่ง การผ่าตัดมีสองชนิดใหญ่ๆคือ
Laser surgery
การผ่าตัดด้วยวิธี Laser แพทย์จะหยอดยาชาที่ตาหลังจากนั้นจะใช้พลังงานจากแสง laser เพื่อเปิดทางเดินน้ำเลี้ยงตา ขณะทำท่านอาจจะเห็นแสงเหมือนถ่ายรูป และมีอาการระคายเคืองตา การรักษาโดยวิธี laser จะลดความดันลูกตาเป็นการชะลอการผ่าตัด วิธีการผ่าตัก laser มีดังนี้
  • Laser peripheral iridotomy
  • Argon Laser Trabeculoplasty
  • Laser cyclophotocoagulation
หลังการผ่าตัดด้วย laser ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องใช้ยา บางรายอาจจะต้องผ่าตัดซ้ำ
Microsurgery
การผ่าตัดวิธีนี้เหมาะสมกับต้อหินทุกชนิดทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง การผ่าตัดอาจจะใช้ยาชาเฉพาะที่หรือดมยาสลบ หลังผ่าตัดผู้ป่วยสามารถเดินและกลับบ้านได้โดยมีผ้าปิดตาและห้ามถูกน้ำ ห้ามออกกำลังกายอย่างหนัก ห้ามก้ม ดำน้ำ หรืออ่านหนังสือเป็นเวลา 1 สัปดาห์
หลังการผ่าตัดลูกตาท่านก็จะเหมือนปกติ จะมีรูเล็กๆที่ตาขาวซึ่งถูกหนังตาบนปิดบังอยู่
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นต้อหิน
  • จะต้องตรวจวัดความดันลูกตาทุกสัปดาห์ ทุกเดือนจนกระทั่งความดันในตากลับสู่ปกติ
  • ให้ใช้ยาอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าความดันลูกตากลับสู่ปกติ จะหยุดเมื่อแพทย์สั่งให้หยุด
  • ให้ใช้ยาเวลาที่สะดวกที่สุด เช่นหลังตื่นนอน หรือก่อนนอน
  • หากท่านลืมหยอดยา ให้หยอดยาทันที่ที่นึกขึ้นได้
  • หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้
  • เตรียมยาสำรองหากต้องเดินทาง
  • จดชื่อยาที่ใช้รวมทั้งขนาดที่ใช้ไว้กับตัว
  • ปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการหยอดยาที่ถูกต้อง
  • จดตารางการหยอดยา และยารับประทานไว้ที่ๆมองเห็นได้ง่าย
  • ต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียง
  • เมื่อไปพบแพทย์ท่านอื่นต้องบอกว่าท่านเป็นต้อหินและกำลังใช้ยาอยู่
  • หากมีอาการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตาต้องรายงานแพทย์
  • ไปตามแพทย์นัด และให้แพทย์นัดครั้งต่อไป
  • หากไม่ได้ใช้ยาต้องบอกแพทย์ทุกครั้ง
การดูแลตา
  • สำหรับคุณผู้หญิงต้องใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ห้ามขยี้ตาแม้ว่าจะเคืองตา
  • หากท่านมีการผ่าตัดตา ให้สวมแว่นกันฝุ่นหรือกันน้ำเวลาทำงานหรือว่ายน้ำ
  • ดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง
  • รับประทานอาหารคุณภาพ ออกกำลังกาย งดบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา ลดปริมาณกาแฟ ควบคุมน้ำหนัก
  • ลดความเครียด
  • เมื่อดื่มน้ำให้ดื่มครั้งละไม่มากแต่บ่อยๆได้