แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นมวัว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นมวัว แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลจากการให้เด็กดื่มนมวัว





ให้เด็กดื่มนมวัว อาจทำให้โง่กว่าที่ควรเป็น

ดื่มนมวัวแล้วโง่ เป็นไปได้ยังไง!!? หลายคนอาจจะตกใจกับข้อความนี้เพราะมันช่างผิดกับภาพฝันที่ถูกบอกต่อกันมาโดยสารพัดหน่วยงาน แม้แต่หน่วยงานของรัฐก็ยังพยายามออกมาส่งเสริมให้เด็กไทยดื่มนมวัวมากขึ้นทำให้เราศรัทธาได้ว่า ดื่มนมวัวน่าจะมีแต่ผลดีต่อสุขภาพแน่นอน

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ออกมาบ่งชี้ถึงผลเสียของนมวัวมากขึ้นและมากขึ้น แต่ด้วยความคิดที่นมวัวได้กลายเป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ไม่สามารถแตะต้องได้ ปฏิกิริยาหลังการได้ยินใครพูดถึงผลเสียของนมวัวยังกับว่าจะเป็นบาปกันอย่างนั้นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่พอได้ยินข้อมูลเรื่องผลเสียของนมวัวจึงรีบปิดหูปิดตาตนเองเสียว่าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าความจริงก็ยังคงอยู่ตรงหน้านั้น ไม่ได้หายไปไหน

คนฉลาดกับคนธรรมดาล้วนมีศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เหมือนกัน แต่คนฉลาดต่างกับคนทั่วไปเพราะก่อนที่เขาจะเลือกศรัทธากับอะไร ล้วนต้องมีปัญญามากำกับ แทนที่จะรีบปิดรับข้อมูล เราลองมาใช้ปัญญาสำรวจดูความจริงสีดำของเจ้าน้ำนมสีขาวที่คนไม่ค่อยกล้าพูดถึงกันหน่อยดีไหม

ถ้าใครได้ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการให้เด็กทารกดื่มนมวัวในแคนาดา จะพบปรากฏการณ์หนึ่งที่หน้าสนใจ นั่นคือ สมาคมผู้บริโภคของแคนาดาได้รณรงค์และผลักดันให้บังคับใช้กฎหมาย ห้ามบริษัทนมวัวที่นั่นโฆษณาว่า "ดื่มนมวัวสูตรพิเศษของบริษัทเราแล้วเด็กจะฉลาดขึ้น"

ที่องค์กรผู้บริโภคต้องออกมาผลักดันเรื่องดังกล่าวเนื่องจากพบว่า นอกจากโฆษณาดังกล่าวจะไม่เป็นความจริงแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบอีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวแทนการกินนมแม่จะทำให้สมองไม่สามารถเจริญได้ดีเท่าเด็กที่มีโอกาสกินนมแม่ กล่าวสั้นๆ คือ "โง่กว่าที่ควรจะเป็น"

มีการค้นพบว่าสมองของเด็กที่เกิดออกมา จะพัฒนาไปได้เพียง 30% เท่านั้น แล้วจะมาเจริญต่ออีกภายนอกโดยอาศัยหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือสารอาหารที่ได้เข้าไป ว่ากันตามสายวิวัฒนาการแล้ว สมองของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็เปรียบเสมือนสมองของลิง เมื่อลิงเริ่มรู้จักกินปลาก็เริ่มได้สารอาหารใหม่ๆ เข้าไป สารอาหารที่ว่าคือกรดไขมัน DHA (Omaga-3), ARA (Omega-6) จะเข้าไปเป็น Precursor (สารตั้งต้น) และ Taurine(ทอรีน) ซึ่งเป็น Neural growth factor(สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมอง) ที่กระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการของสมองให้ฉลาดขึ้นจนทัดเทียมกับสมองคนอีกทีหนึ่ง

บริษัทนมวัวรู้ถึงจุดด้อยข้อนี้ดี ในระยะแรกบริษัทนมวัวจึงพยายามชดเชยจุดด้อยดังกล่าวด้วยการเติม Taurine ลงไปในนมวัว โดยหวังว่าจะทำให้เด็กที่ดื่มนมวัวมีพัฒนาการทางสมองเท่าเทียมกับเด็กที่ดื่มนมแม่ แต่จนแล้วจนรอด งานวิจัยก็ยังออกมายืนยันเหมือนเดิมว่า การเติม Taurine ลงไปในนมวัวไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเด็กที่ดื่มนมแม่ยังมีค่าการพัฒนาการทางสมองมากกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวถึง 3.5 แต้ม นั่นคือมีพัฒนาการต่อเนื่องเต็ม 70% ที่เหลือ ในขณะที่เด็กที่ดื่มนมวัวสมองยังไม่ได้พัฒนาการไปจากสมองลิงเท่าไหร่

บริษัทนมวัวจึงพยายามมองต่อไปอีกว่า ในนมแม่มี DHA และ ARA ในขณะที่นมวัวสูตรผสม Taurine ไม่มีเจ้าสาร 2 ตัวนี้ น่าจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมผลงานวิจัยจึงออกมาว่าเด็กที่กินนมแม่จึงยังคงมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัว

และเมื่อข้อมูลด้านนี้เริ่มเป็นที่รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาประชาชนชาวแคนาดา เดือดร้อนไปถึงบริษัทนมวัวดังกล่าวเพราะกระทบยอดขาย จึงมีความพยายามคิดสูตรนมใหม่เพื่อชดเชยจุดด้อยของนมวัว ในเมื่อนมวัวไม่มี DHA ก็เลยเติม DHA ใส่ลงไปในนมวัวซะเลย

แทนที่จะพูดว่าเป็นการชดเชยจุดด้อยของนมวัว ทางบริษัทนมวัวดังกล่าวกลับเอามาเป็นจุดขายซะ โดยเริ่มโหมโฆษณาว่า นมวัวสูตรใหม่นี้ช่วยให้เด็กที่กินแล้วฉลาดกว่าเด็กอื่นแทน (ทั้งที่จริงๆ แล้ว อย่างมากก็แค่ฉลาดทัดเทียมกับเด็กที่กินนมแม่) หนำซ้ำ...จะว่าเป็นความโชคร้ายของเด็กรุ่นนั้นก็ได้ที่ในระยะแรก บริษัทนมวัวได้ทำการเติมแต่ DHA ลงไปในนมวัวสูตรใหม่ แทนที่จะดี กลับมีงานวิจัยออกมาว่า เด็กที่กินนมวัวสูตรนี้กลับมีพัฒนาการที่แย่กว่านมแม่อยู่ดี

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า โดยธรรมชาติแล้ว ระบบตอบสนองทางเคมีนั้น จำเป็นจะต้องใช้ทั้ง DHA และ ARA ในกระบวนการนั้นอย่างสมดุล ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไป กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย การโฆษณาที่ว่า ดื่มนมวัวสูตรเสริม DHA แล้วเด็กฉลาดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะนอกจากจะไม่ฉลาดขึ้นกว่าเด็กปกติแล้วกลับโง่ลงกว่าศักยภาพที่เขาควรเป็น

บริษัทนมวัวดังกล่าวจึงพยายามปรับแก้เกมอีกหน ด้วยการเติม ARA ลงไปในนมวัวอีกตัวหนึ่ง พร้อมกับสร้างแคมเปญใหม่เรื่อง "นมวัวสูตรสมดุล" บอกว่าปรับปรุงใหม่ (แต่ไม่เคยมีแม้เสียงกระซิบบอกประชาชนคนทั่วไปเลยว่าทำไมต้องปรับสูตรใหม่) แน่นอนว่าบริษัทนมอื่นๆ ก็เลยต้องมีการปรับสูตรนมวัวของตัวเองด้วยเช่นกัน

เพื่อให้นมวัวยังคงขายได้ จะเห็นว่ามีการเติมสารต่างๆ ลงไปเพื่อชดเชยข้อด้อยให้นมวัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่เรารับรู้กันทั่วไปก็คือ มีข่าวการเรียกเก็บนมล๊อตต่างๆ ที่เด็กกินแล้วมีปัญหาถี่ขึ้น เดี๋ยวๆ ก็มีข่าวเรียกเก็บนมอีกยี่ห้อแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราแทบจะไม่เคยได้ยินปรากฏการเรียกเก็บนมวัวที่มีปัญหาเลย สาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือ แหล่งสารอาหาร AHA, และ ARA นั้นต้องเอามาจากสาหร่ายทะเลเป็นส่วนใหญ่ สาหร่ายทะเลมีหลายชนิด ชนิดที่เป็นพิษก็มี ถ้ามีปนเปื้อนเข้ามาแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นพิษต่อเด็กทารกได้

ทางสมาคมผู้บริโภคทนไม่ได้กับปัญหาดังกล่าว จึงออกมาเรียกร้องให้ปลดโฆษณาดังกล่าวออกจากสื่อทั้งหมดที่มีในแคนาดา และหลังจากผ่านการต่อสู้ที่ค่อนข้างยาวนาน ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ ในแคนาดาจึงไม่มีโฆษณาเกินจริงในลักษณะดังกล่าวเกี่ยวกับนมวัวอีกต่อไป ฝันร้ายของชาวแคนาดาจึงสิ้นสุดลง

แต่ฝันร้ายของคนไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรามีโฆษณานมวัวที่เสริม AHA ในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในโฆษณาจะเห็นเด็กที่ถูกทำท่าทางและพฤติกรรมให้ฉลาดกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียน เป็นที่ชื่นชมของคุณครูและพ่อแม่ออกมาวิ่งเล่นและดื่มนมวัวสูตรดังกล่าวให้เห็น รัฐบาลของเราออกมาเรียกร้องให้เด็กดื่มนมวัวมากขึ้นหลังจากเปิด FTA นม จนกลบข่าวสารสำคัญจากแคนาดาไปหมด ผมหวังว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ จะช่วยกันเผยแพร่ความจริงข้อนี้ต่อๆ กันไป เพื่ออนาคตของเด็กไทยที่ฉลาดในวันหน้านะครับ เอ้า!... ช่วยกันหน่อยพวกเรา

จะกินดื่มอะไรถ้าไม่ได้ดื่มนมวัว



จะกินดื่มอะไร ถ้าไม่ให้ดื่มนม(วัว)
มีคนถามว่า ถ้าการดื่มนมวัวน่าจะเกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นเราจะกินดื่มอะไรกันดี

เด็ก นมแม่มีประโยชน์ที่สุด การเข้ามาของผลิตภัณฑ์นม ทำให้แม่ลดการให้นมลูกเองเหลือเพียง 4 % กรณีที่แม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แม่สามารถกลับมาป้อนนมได้ในตอนเย็นและค่ำ หลังจากนั้นปั๊มน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพื่อให้คนที่บ้านป้อนเด็กในตอนกลางวัน

การให้นมแม่ประหยัดเงินได้มาก ลูกมีภูมิต้านทานดี ไม่เจ็บป่วยง่าย เด็กที่เติบโตด้วยนมแม่จะอารมณ์ดี

นมวัวมีกรณีให้เลือกสถานเดียว คือกรณีที่แม่ไม่มีน้ำนมพอให้ลูก ก็อาจพิจารณาให้นมวัวที่ปรับสภาพให้ใกล้เคียงนมแม่ ให้ดื่มจนครบ 1 ขวบแล้วให้เลิกเสีย โดยให้กินอาหารอย่างอื่นแทน อีกทางหนึ่งคือ ให้เลี้ยงลูกด้วยนมถั่วเหลือง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้มากขึ้นถ้าให้ดื่มนมวัว
ส่วนเด็กเล็กและเด็กโตกินอาหารธรรมชาติ โดยไม่ต้องดื่มนม แต่ถ้ายังไม่สบายใจ พ่อแม่ก็อาจจะให้ลูกดื่มนมถั่วเหลือง ซึ่งก็มีโปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว ถ้าจะเปรียบเทียบแหล่งโปรตีนแล้ว กินหมูกินไก่ก็ได้โปรตีนทั้งคุณภาพและปริมาณ
- นมวัว 1 แก้ว ให้โปรตีน 8.5 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- น่องไก่ 1 ชิ้น ให้โปรตีน 18.8 กรัม

หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์ต้องการแคลอรี โปรตีน กรดไขมันจำเป็น แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินต่างๆ แต่คุณแม่ต้องรู้ว่าไม่ต้องการสารเหล่านี้เป็น 2 เท่า เพราะเด็กในครรภ์ตัวเล็กกว่าแม่ 15 เท่า ถ้าขืนกินเข้าไปแบบยัดทะนาน ก็รังแต่จะไปพอกพูนที่ตัวแม่ การดื่มนมอย่างมากมายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่อ้วนหลังคลอด

แคลอรีที่ดีต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้องซึ่งจะใช้เป็นเรี่ยวแรงได้อย่างหมดจด
โปรตีน ถ้ากินไก่ ไข่ หมู กุ้ง ปลา ก็ได้โปรตีนเพียงพอ สามารถดื่มนมถั่วเหลือง และข้าวกล้องก็ให้โปรตีนด้วย
- เนื้อไก่ส่วนอก 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 11 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้โปรตีน 10 กรัม
- ปลา 1 ชิ้น (100 กรัม) ให้โปรตีน 21 กรัม
- หมูเนื้อแดง 1 ขีด ให้โปรตีน 14 กรัม
- เต้าหู้ 100 กรัม ให้โปรตีน 13.3 กรัม
- นมถั่วเหลือง 1 แก้ว ให้โปรตีน 7 กรัม
- ข้าวกล้อง 2 ทัพพี ให้โปรตีน 15.6 กรัม

แคลเซียม อาหารไทยมีแคลเซียมมากมายไม่ต้องพึ่งนมวัว เช่น กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลากรอบ มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านม 13-23 เท่า ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์กินเต้าหู้วันละ 1 แผ่น กับกุ้งชุบแป้งทอดวันละ 1 ชิ้น เท่ากับได้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว

ธาตุเหล็ก ใช้สร้างเม็ดเลือดแดง เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วงอก ผักบุ้ง ผักใบเขียว

กรดโฟลิก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท มีมากในผักใบเขียว แคนตาลูป แครอท ตับ ไข่แดง ฟักทอง ถั่วต่างๆ

วิตามิน เกลือแร่ และสารผัก ช่วยจรรโลงขบวนการเคมีทั้งในแม่และทารก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เป็นฮอร์โมนเสริมสำหรับบำรุงครรภ์ มีในผักสด ผลไม้ต่างๆ ต้องรู้จักกินผักให้หลากหลาย ผักพื้นบ้าน เครื่องแกง เครื่องสมุนไพรต่างๆ

กรดไขมันจำเป็น ช่วยเสริมระบบฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอยู่ในน้ำมันปลา น้ำมันดอกพริมโรส น้ำมันเมล็ดฝ้าย

ถ้าคุณแม่ต้องการดื่มนม ให้ดื่มนมถั่วเหลือง พร้อมโรยงาดำคั่ว วันละ 1-2 แก้ว ก็จะได้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมเพียบพร้อม

สตรีวัยทอง และผู้สูงอายุ ประเด็นที่สตรีวัยทองและผู้สูงอายุเสี่ยงต่อโรคกระดูกผุ เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์นมแคลเซียมสูง สำหรับอาหารไทยเรามีแคลเซียมอยู่มากมายดังในตาราง
ในอาหาร กับ ในนมวัว
(มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม)
ประเภทอาหาร
ปริมาณแคลเซียม
ประเภทอาหาร
ปริมาณแคลเซียม
ปลาร้าผง
กุ้งแห้งตัวเล็ก
กะปิเคย
งาดำคั่ว
กุ้งฝอยน้ำจืด
ถั่วแดงหลวง
ใบชะพลู
มะขามฝักสด
2,392
2,305
1,565
1,452
1,339
956
601
429
แคยอดอ่อน
ผักกระเฉด
สะเดายอดอ่อน
เม็ดบัวดิบ
ถั่วเน่าแห้ง
เต้าหู้ขาวอ่อน
ผักคะน้า
ถั่วเหลือง
ปลาไส้ตัน      
395
387
354
335
292
250
245
245
218
นมวัวสด
118
นมผสมแคลเซียม
        160          

จะเห็นได้ว่าถ้าขยันกินอาหารไทยๆ จะไม่ขาดแคลเซียมทั้งคนทั่วไป และผู้สูงอายุเลิกดื่มนม(วัว)เสียแต่วันนี้ ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยแน่นอน

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ต่อมไพเนียล



ฮอร์โมน
ระบบฮอร์โมนหรือระบบต่อมไร้ท่อเป็นตัวควบคุมการทำงานของร่างกายอีกระบบหนึ่ง โดยการหลั่งสารเคมีที่สร้างขึ้น แล้วส่งไปตามกระแสเลือดและไปมีผลหรือไปควบคุมอวัยวะเป้าหมาย โดยเหนี่ยวนำให้เกิดการเจริญเติบโต กระตุ้นหรือยับยั้ง ซึ่งออกฤทธิ์ได้โดยปริมาณเพียงเล็กน้อย

ประเภทของต่อมไร้ท่อ
1.
ต่อมไร้ท่อที่จำเป็นต่อชีวิต เช่น ต่อมพาราไธรอยด์ อะดรีนัลคอร์เทกซ์ และ ไอสเลตออฟแลงเกอฮานน์
2.
ต่อมไร้ท่อที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไธรอยด์ ต่อมไพเนียล อวัยวะเพศ

ต่อมไร้ท่อในร่างกายของมนุษย์ที่ควรรู้จักมีดังนี้
1.
ต่อมไพเนียล ( PINEAL GLAND ) หรือ EPIPHYSIS
2.
ต่อมใต้สมอง ( PITUITARY GLAND ) หรือ HYPHYPOSIS
3.
ต่อมไธรอยด์ ( THYROID GLAND )
4.
ต่อมพาราไธรอยด์ ( PARATHYROID GLAND )
5.
ต่อมไธมัส ( THYMUS GLAND )
6.
ต่อมหมวกไต ( ADRENAL GLAND )
7.
ไอสเลตออฟแลงเกอฮานส์ (ISLETS OF LANGERHANS ) ของตับอ่อน
8.
อัณฑะ ( TESTIS ) และรังไข่ ( OVARY )

บทบาทของฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อต่างๆ
ต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมน
หน้าที่
ความผิดปกติ
ต่อมไพเนียล
เมลาโตมิน( MELATONIN )
ยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ก่อนเข้าสู่วัยสืบพันธุ์ ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ทำให้การเจริญทางเพศช้าหรือเร็วกว่าปกติ
ต่อมใต้สมองต่อมใต้สมองส่วนหน้า
GROWTH HORMONE( GH )
กระตุ้นการเจริญเติบโตโดยทั่วไปของร่างกาย

- ขาดในวัยเด็กเป็นโรค DWARFISM

- ในผู้ใหญ่เป็นโรค SIMMOND'S DISEASE

- เกินในเด็กเป็นโรค GIANTISM

- เกินในผู้ใหญ่เป็นโรค ACROMEGALY

- FOLLICLE STIMULATING HORMONE( FSH )

- เพศหญิงกระตุ้น การเจริญของ ฟอลลิเคิล

- เพศชายกระตุ้นการเจริญของหลอดสร้างอสุจิ


- LEUTEINIZING HORMONE( LH )

- ในเพศหญิงกระตุ้นการตกไข่

- ในเพศชายกระตุ้นให้อินเตอร์สติเชียนเซลล์หลั่งฮอร์โมนจึงมักเรียกว่า INTERSTITIAL CELL STIMULATING HORMONE ( ICTH )


- PROLACTIN
- กระตุ้นการเจริญของต่อมน้ำนม


- THYROID STIMUMLATING HORMONE ( TSH )
กระตุ้นการสร้างและการหลั่งฮอร์โมนของต่อมไธรอยด์


- ADRENOCORTICO TROPIC HORMONE( ACTH )
กระตุ้นการสร้างและการหลั่งฮอร์โมนจากหมวกไตชั้นนอก

ต่อมใต้สมองส่วนกลาง
MELANOCYTE STIMULATING HORMONE ( MSH )
กระตุ้นการสร้างเมลานินในสัตว์เลือดอุ่นและการเปลี่ยนสีตัวของสัตว์เลือดเย็น

ต่อมใต้สมองส่วนท้าย
OXYTOCIN
กระตุ้นการบีบตัวของมดลูกและการหลั่งน้ำนม


VASOPRESSIN หรือ ANTIDIURATIC HORMONE ( ADH )
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูดกลับของน้ำที่ท่อของหน่วยไต
มีมากไปจะทำให้เป็นโรคเบาจืด
ต่อมไธรอยด์
THYROXIN
ควบคุมเมตาบอลิซึมทั่วไปของร่างกายและควบคุมเมตามอโฟซิสของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
ขาดในเด็กเป็นโรค CRITINISMขาดในผู้ใหญ่เป็นโรค MYXEDEMA

CALCITONIN
ทำให้ Ca2+ สะสมในกระดูกและลด Ca2+ ในปัสสาวะ

ต่อมพาราไธรอยด์
PARATHORMONE
เพิ่มระดับ Ca2+ ในเลือดทำงานตรงข้ามกับคัลซิโตนิน

ISLETS OF LANGERHANS ของตับอ่อน
-Beta CELLS
INSULIN
ทำให้เซลล์นำกลูโคสไปใช้ได้ดีขึ้น และกระตุ้นการสร้างไกลโคเจน
ถ้าขาดจะเป็นโรคเบาหวาน
-Alfa CELLS
GLUCAGON
ทำงานตรงข้ามกับอินซูลิน โดยสลายไกลโคเจนเป็นกลูโคส

ต่อมหมวกไต
- ADRENAL CORTEX
MINERALOCORTICOIDS( ที่สำคัญคือ ALDOSTERONE )
ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่และควบคุมการดูดกลับ Na+ และ K+ ที่ไต


GLUCOCORTICOIDS ( ที่สำคัญคือ CORTISOL )
เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและควบคุมการดูดกลับ Na+ และ K+ ที่ไต

ฮอร์โมนเพศ เช่น แอนโดรเจนและ เอสโตรเจน
ควบคุมการเจริญเติบโตทางเพศขั้นที่ 2


- ADRENAL MEDULLA
ADRENAKIN หรือ EPINEPHRIN
เพิ่มกลูโคสในเลือดและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ


NORADRENALIN หรือ NOREPINEPHRIN
เพิ่มกลูโคสในเลือดและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ

อวัยวะเพศ
- TERTIS
ANDROGEN เช่น TESTOSTERONE
ควบคุมการเจริญของลักษณะเพศชาย ควบคุมการสร้างอสุจิ

- FOLLICLE
ESTROGEN
ควบคุมการเจริญลักษณะเพศหญิงและกระตุ้นการหลั่ง LH

- CORPUS LUTELUM
PROGESTERONE
ควบคุมการเจริญของผนังมดลูกและรักษาสภาพการตั้งครรภ์

อวัยวะอื่นๆ
- รก
HUMAN CHORIONICGONADOTROPHIN( HCG )
กระตุ้นคอร์ปัสลูเตียมทำให้โปรเจสเตอโรนสูงขึ้นและรักษาสภาพการตั้งครรภ์

- กระเพาะอาหาร
GASTRIN
กระตุ้นการหลั่งกรดเกลือและน้ำย่อยต่างๆ

- ลำไส้เล็ก
SECRETIN
กระตุ้นตับอ่อนหลั่งน้ำย่อยและตับหลั่งน้ำดี

การควบคุมการทำงานของฮอร์โมนมี 3 วิธี
1.
ควบคุมโดยกระบวนการย้อนกลับ ( FEEDBACK CONTROL)
*
โดยฮอร์โมน 2 ชนิดควบคุมซึ่งกันและกัน
*
โดยปริมาณของตัวเอง ถ้ามีปริมาณมากจะยับยั้งการหลั่งของตัวเอง
2.
ควบคุมโดยระบบประสาท
3.
ควบคุมโดยระดับของสารบางชนิดที่ไม่ใช่ฮอร์โมน เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดระดับของ Ca2+ เป็นต้น

ฟีโรโมน ( PHEROMONE )
หมายถึง สารเคมีที่สัตว์สร้างขึ้น เมื่อหลั่งออกมาภายนอกร่างกายแล้วจะมีผลต่อสัตว์ตัวอื่นซึ่งเป็นชนิดดียวกัน ทำให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม และสรีระเฉพาะอย่างได้
การรับฟีโรโมนมีได้ 3 ทาง คือ
1.
ทางกลิ่น
*
สารที่ชะมดสร้างขึ้นบริเวณใกล้อวัยวะสืบพันธุ์
*
สารที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเพื่อล่อให้ตัวผู้มาสืบพันธุ์
2.
ทางการกิน
*
สารที่สร้างจากต่อมบริเวณรยางค์ปากของราชินีผึ้งเพื่อให้ผึ้งงานกิน
3.
โดยการดูดซึม
*
แมลงสาบ , แมงมุม ตัวเมียสร้างขึ้นเมื่อตัวผู้มาสัมผัสจะตามไปจนพบและผสมพันธุ์กัน
*
ตั๊กแตนตัวผู้ ปล่อยสารทิ้งไว้หลังการผสมพันธุ์ เมื่อตัวอ่อนมาสัมผัสเข้าจะกระตุ้นให้เจริญเป็นตัวเต็มวัย
จุดประสงค์ของการหลั่งของฟีโรโมน
1.
บอกตำแหน่ง
2.
บอกอาณาเขต
3.
เตือนภัย
การนำมาใช้
1.
นำมาทำน้ำหอม
2.
นำมาทำสารล่อแมลง

ฮอร์โมนพืช ( PLANT HORMONE )
1.
ออกซิน ( AUXIN ) หรือ INDOLE ATCETIC ACID ( IAA ) เป็นฮอร์โมนพืชที่สร้างขึ้นจากเนื้อเยื่อบริเวณยอดอ่อนหรือรากอ่อน มีบทบาท ดังนี้
*
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์โดยทั่วๆ ไป
*
ยับยั้งการเจริญของตาข้าง
*
ทำให้เกิดการเจริญของรังไข่เป็นผลโดยไม่ต้องปฏิสนธิ ( PARTHENOCARPIC FRUIT )
*
ชะลอการหลุดร่วงของใบ
*
กระตุ้นการงอกของราก
*
ใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูงๆ เป็นยาปราบวัชพืช เช่น 2 , 4 - D เป็นต้น

2.
จิบเบอเรลลิน ( GIBBERELLIN ) หรือ GIBBERELLIC ACID สร้างจากต้นอ่อนมีบทบาทดังนี้
*
กระตุ้นการยืดตัวและการแบ่งเซลล์ของลำต้นโดยเฉพาะระหว่างข้อของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
*
กระตุ้นการงอกของเมล็ด
*
กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด
*
ช่วยในการยืดช่อองุ่นทำให้ผลมีขนาดโตขึ้น

3.
ไซโตไคนิน ( CYTOKININ ) สร้างจากราก มีบทบาทดังนี้
*
กระตุ้นการแบ่งเซลล์ของพืชและช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในกระบวนการเจริญเติบโต
*
ยืดอายุผักและผลไม้หลังการเก็บเกี่ยวทำให้สดอยู่นาน
*
เร่งการงอกของเมล็ด
*
เร่งการเจริญของตาข้าง

4.
กรดแอบไซซิก ( ABCISIC ACID ) สร้างจากใบและตา มีบทบาทดังนี้
*
ยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชทำให้แคระแกร็น
*
ทำให้เกิดการพักตัวของตาและเมล็ด
*
กระตุ้นการหลุดร่วงของใบ , ผล , ดอก

5.
ก๊าซเอธีลีน ( ETHYLENE ) สร้างจาดชกเนื้อเยื่อของพืชมีมากในผลไม้สุก มีบทบาทดังนี้
*
เร่งการสุกของผลไม้
*
กระตุ้นการหลุดร่วงของใบและผล
*
กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด
*
ช่วยในการงอกของเมล็ด

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

กินนม กระดูกดีจริงหรือ

        กินนม กระดูกดีจริงหรือ?
            พูดไปใครจะเชื่อหนอ? นมนั้นให้แคลเซียมสูงและป้องกันโรคกระดูกพรุนกระดูกเสื่อมได้ดี แต่จากการศึกษาประวัติ
สุขภาพของพยาบาลในสหรัฐฯ จำนวน 80,000 คน เป็นเวลา 12 ปี พบว่าผู้หญิงที่ดื่มนมวันละ 2 แก้วหรือมากว่า มีอัตรา
เสี่ยงต่ออาการกระดูกสะโพกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 45  เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ดื่มนมเพียงวันละ 1 แก้วหรือน้อยกว่า
            นมมีแคลเซียมมากก็จริง  แต่ก็มีโปรตีนจากสัตว์มากด้วย  ซึ่งจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายที่ต้อง
การถึงวันละ 1,200  มิลลิกรัม ต่างจากโปรตีนพืชที่ไม่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย
            ต่อไปนี้เป็นรายการอาหารแคลเซียมสูงชนิดที่พอหากินได้ง่ายคือ เต้าหู้ คะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหางหงส์ ผักกวางตุ้ง  บรอกโคลี ปลาซาร์ดีน งาคั่ว สาหร่ายทะเลแห้ง เป็นต้น